บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับปี 2547

ที่ กผ. 037/2548 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 เรื่อง บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2547 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2547 1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน 1.1 รายได้ 1.1.1 รายได้ค่าบริการ บริษัทมีรายได้ค่าบริการในปี 2547 ทั้งสิ้น 1,015.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 177.69 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.20 เทียบ กับปี 2546 โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการและอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ สำหรับในปี 2547 บริษัทฯ มีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปริมาณน้ำมันที่ ให้บริการในปี 2547 มีปริมาณเท่ากับ 3,959.29 ล้านลิตรเพิ่มขึ้น 465.36 ล้านลิตร หรือร้อยละ 13.32 เมื่อเทียบ กับปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในปี 2546 เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจการบินหลังวิกฤติโรคซาร์สในปี 2546 และมีการ เติบโตขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาล เช่น ตรุษจีน และปีใหม่ จะมีเที่ยวบินพิเศษแบบเช่า เหมาลำเพื่อนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวยังประเทศไทยค่อนข้างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดจากปริมาณน้ำมันในไตรมาสที่ 4 ที่ เพิ่มขึ้นสูงกว่าไตรมาสอื่นๆของปี นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสายการบินต้นทุนต่ำหลายสายในปี 2547 เช่น Air Asia, Nok Air, Valuair และ Tiger Airways เป็นต้น ปัจจัยสำคัญอีกประการที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ค่าบริการของบริษัทฯกำหนดเป็นอัตราที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทเฉลี่ย แข็งค่าขึ้น จาก 41.41 บาทต่อดอลลาร์ ในปี 2546 เป็นประมาณ 40.27บาทต่อดอลลาร์ในปี 2547 คิดเป็นอัตราการแข็งค่าขึ้น ถึงร้อยละ 2.75 ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 2.34 เซนต์ต่อแกลลอน เป็น 2.58 เซนต์ต่อแกลลอนตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2547 คิดเป็นอัตราการปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 หลังจากที่มีการปรับเพิ่มไปแล้วร้อยละ 10 ในเดือน พฤศจิกายน 2546 ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วอัตราค่าบริการในปี 2547 สูงกว่าปี 2546 อยู่ร้อยละ 10 ดังนั้นเมื่อรวมกับการ ที่บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.32 ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.75 ทำให้รายได้ค่า บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.20 1.1.2 รายได้ค่าเช่า บริษัทฯมีรายได้ค่าเช่าในปี 2547 ทั้งสิ้น 56.81 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเช่าอาคารสำนักงานและระบบรับ น้ำมันทางท่อ แก่บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) จำนวน 55.38ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าที่ดินและ ระบบสาธารณูปโภคแก่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) จำนวน 1.43 ล้านบาท โดยรายได้ค่าเช่า เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 9.47 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 20 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่าระบบรับ น้ำมันทางท่อจาก FPT จำนวน 9.50 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราลอยตัวอ้างอิงจากรายได้ค่าขนส่งน้ำมัน JET A-1 สำหรับ ปี 2547 FPT มียอดรายได้จากการขนส่งน้ำมัน JET A-1 เพิ่มขึ้นจากปี 2546 เนื่องจากอัตราค่าบริการขนส่งน้ำมัน ของ FPT มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ประกอบกับการที่ FPT มีปริมาณน้ำมันผ่านท่อสูงขึ้นจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 11.40 1.1.3 รายได้อื่น สำหรับรายได้อื่นของบริษัทฯ ในปี 2547 มียอดทั้งสิ้น 35.47 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ รายได้ ดอกเบี้ยรับจาก FPT จำนวน 4.89 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุนระยะสั้นจำนวนประมาณ 1.64 ล้านบาท เงินต้นที่ได้รับชำระจาก FPT ตามตารางการจ่ายชำระหนี้ในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ครั้งที่ 3 จำนวน 6.42 ล้านบาท และเงินต้นที่ได้รับชำระก่อนกำหนดจำนวน 14.45 ล้านบาท ซึ่งเงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ระยะยาวบริษัทที่เกี่ยวข้องกันนี้ บริษัทฯได้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญแล้วทั้งจำนวนในปี 2545 ดังนั้นเงินต้นที่ได้รับชำระคืนทั้งหมดจะบันทึกเป็นรายได้อื่น นอกจากนี้เป็นรายการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการบันทึกหนี้สินระยะยาวในส่วนที่เป็นเงินกู้สกุลดอลลาร์ของ TARCO จำนวน 2.20 ล้านบาท 1.2 ค่าใช้จ่าย 1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ ปี 2547 บริษัทฯมีต้นทุนการให้บริการทั้งสิ้น 388.61 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ดังนี้ ค่าเช่าท่อส่งน้ำมัน ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) จำนวน 81.42 ล้านบาท ค่าเช่าที่ดิน 19.10 ล้านบาท ค่า ซ่อมแซมอุปกรณ์ จำนวน 19.13 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันภัย ประเภท All Risks Insurance จำนวน 10.03 ล้าน บาท และ Third Party Legal Liability Insurance จำนวน 15.58 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา จำนวน 66.72 ล้านบาท เงินเดือนพนักงานและค่าตอบแทนพิเศษประจำปี จำนวน 96.68 ล้านบาท และนอกจากนี้ยังมีการ บันทึกสำรองเพื่อผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับปี 2547 จำนวน 18.85 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯรับประกันจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้แก่พนักงานที่เข้างานก่อน วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ในกรณีที่เงิน ได้ครั้งเดียวเมื่อออกจากงานที่พนักงานได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่ำกว่าที่พนักงานควรได้รับ ตามระเบียบ สวัสดิการผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของบริษัทฯ ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้พนักงานสมัครเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพราะมีผล ให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทฯลดลงในระยะยาว ซึ่งการบันทึกสำรองเพื่อตัดเป็นค่าใช้จ่ายนี้จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบ หากมีพนักงานลาออกในอนาคต แต่สำหรับพนักงานที่เข้างานหลังวันดังกล่าวบริษัทฯไม่มีภาระ รับประกันแต่อย่างใดเพราะบริษัทฯได้ยกเลิกระเบียบสวัสดิการผลประโยชน์เมื่อออกจากงานไปแล้ว ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 28.61 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.95 จากปี 2546 โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของต้นทุน การให้บริการมาจากการปรับเพิ่มขึ้นค่าเช่าท่อส่งน้ำมันที่บริษัทฯเช่าจาก ทอท. ประมาณ 13.90 ล้านบาท โดยเป็นการ เพิ่มขึ้นตามอัตราการเพิ่มขึ้นของ CPI จำนวน 5.70 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากการเรียกเก็บค่าเช่าท่อย้อนหลังสำหรับ ท่อส่วนต่อขยายตั้งแต่เดือน มีนาคม 2546 เป็นจำนวน 8.72 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ได้แก่ เงินเดือนและค่าตอบแทนพิเศษประจำปี จำนวน 4.43 ล้านบาท ค่าล่วงเวลา 3.07 ล้านบาท เนื่องจากการ เพิ่มขึ้นมากของจำนวนเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินผลประโยชน์เมื่อ ออกจากงานของพนักงาน จำนวน 10.55 ล้านบาท นอกจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นข้างต้นแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายบางรายการที่ลดลง ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาลดลง 4.23 ล้านบาท 1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการบริหารในปี 2547 จำนวน 197.74 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ เงินเดือน พนักงานและค่าตอบแทนพิเศษประจำปีจำนวน 62.64 ล้านบาท เงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงานจำนวน 22.94 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคา 12.44 ล้าน ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 47.30 ล้านบาท หรือร้อยละ 31.44 จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายการสำคัญๆ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ได้แก่ เงินเดือนและค่าตอบแทนพิเศษประจำปี จำนวน 14.55 ล้านบาท เงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานจำนวน 15.66 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและปฏิบัติงานใน ต่างประเทศ 3.91 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน 4.18 ล้านบาท 1.2.3 ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทฯมีดอกเบี้ยจ่าย ปี 2547 จำนวน 24.27 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายการสำคัญๆคือ ดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืม ระยะยาว 800 ล้านบาทจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 19.55 ล้านบาท และดอกเบี้ยจาก เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เป็นจำนวนเงิน 4.72 ล้านบาท 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ สำหรับปี 2547 คิดเป็นจำนวน 363.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.80 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.29 จากปี 2546 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 299.70 ล้านบาท (ตามงบการเงินฉบับปรับปรุง ซึ่งมีการตั้งสำรองเผื่อผลประโยชน์เมื่อออก จากงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับปี 2546 จำนวน 12.98 ล้านบาท และตัดออกจากกำไรสะสมเป็นจำนวน 44.84 ล้าน บาท) เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 363.50ล้านบาท และมี กำไรต่อหุ้นประมาณหุ้นละ 1.07 บาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ที่ผ่านมา มีมติให้นำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดหกเดือนหลังของปี 2547 ให้แก่ ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 119 ล้านบาท โดยการจ่ายเป็นหุ้นปันผลและเงินสดปันผล ดังนี้ 1. จ่ายปันผลเป็นเงินสด จำนวน 34 ล้านบาท คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท 2. จ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญของบริษัทฯ จำนวน 85 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯใน อัตรา 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล รวมมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 85 ล้านบาท คิดเป็นการจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใดมีเศษหุ้นน้อยกว่า 4 หุ้น ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดแทนการจ่ายเป็นหุ้นปันผลสำหรับเศษหุ้นดัง กล่าว ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยให้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และให้กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2548 หลังจากที่ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไป แล้ว 0.30 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2547 รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2547 ทั้งสิ้น 0.65 บาทต่อหุ้น คิดเป็นการจ่ายปันผลในอัตราร้อยละ 61 ของกำไรสุทธิ 2. รายงานและการวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 สินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม จำนวน 4,571.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,055.18 ล้านบาท หรือร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปี 2546 โดยสินทรัพย์ที่สำคัญในปี 2547 ประกอบด้วยรายการสำคัญๆดังนี้ 2.1.1 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นลดลงจาก 438.24 ล้านบาท ในปี 2546 เป็น 414.99 ล้านบาท ในปี 2547 หรือลดลง 23.25 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการได้มาและใช้ไปของเงินสดและ เงินลงทุนระยะสั้นที่สำคัญดังนี้ - บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 621.56 ล้านบาท เนื่องมาจากกำไรสุทธิประจำ ปี 2547 จำนวน 363.50 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 80.83 ล้านบาท สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลง 27.64 ล้านบาท และหนี้สินหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 162.79 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายการเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างของบริษัทฯ และบริษัทย่อย - กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนมีจำนวน 846.51 ล้านบาท โดยใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการคลังน้ำมัน 599.36 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการเติมน้ำมันอากาศยานจำนวน 79.89 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการระบบท่อ ส่งน้ำมันอากาศยานใต้ลานจอดของ TARCO จำนวน 193.05 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นทาง มักกะสัน ? สุวรรณภูมิของ JP-One จำนวน 191.93 ล้านบาท และจ่ายเงินสดตามสัญญาซื้อสิทธิเรียกร้อง 69.19 ล้าน บาท นอกจากนี้ บริษัทฯและบริษัทย่อยได้รับเงินสดเข้ามาจากการไถ่ถอนตั๋วเงิน ซึ่งเป็นเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 110 ล้าน บาท และได้รับเงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ JP-One จำนวน 180 ล้านบาท - กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินมีจำนวน 311.70 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีเงินกู้ยืมระยะสั้นลดลง 158 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวเพิ่มขึ้น 676 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการคลังน้ำมันและเติมน้ำมันอากาศยาน ในขณะที่ TARCO มีเงินกู้ยืมระยะยาวเพิ่มขึ้น 11.07 ล้านบาท โดยเป็นการเบิกเงินกู้ในส่วนของเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 0.32 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 และจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 210.80 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม และ 6 กันยายน 2547 2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ในปี 2547 มีจำนวน 2,978.86 ล้านบาท ประกอบด้วยที่ดิน สิ่ง ปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์ของบริษัทฯ จำนวน 1,829.88 ล้านบาท และเป็นงานระหว่างก่อสร้างของ TARCO จำนวน 957.04 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 191.93 ล้านบาท 2.1.3 ค่าความนิยม ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุนเมื่อเดือนสิงหาคม 2546 ทำให้บริษัทฯต้องบันทึกรายการดังกล่าวเป็นค่าความนิยม จำนวน 768.01 ล้านบาท และตัดจำหน่ายตามอายุสัมปทาน เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยจะเริ่มตัดจำหน่ายเมื่อ TARCO เปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ 2.2 หนี้สิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมจำนวน 2,529.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 713.42 ล้านบาท หรือร้อยละ 39.27 เมื่อเทียบกับปี 2546 คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 1.24 ต่อ 1 เท่า โดยแบ่งเป็น รายการสำคัญๆได้ดังนี้ 2.2.1 หนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 268.80 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคลค้างจ่าย จำนวน 41.28 ล้านบาท และเจ้าหนี้อื่นจำนวน 203.55 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างของบริษัทฯและ บริษัทในเครือเป็นส่วนใหญ่ โดยเจ้าหนี้อื่นเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 162.79 ล้านบาท 2.2.2 เงินประกันผลงานจำนวน 158.71 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินประกันผลงานของบริษัทฯจำนวน 91.15 ล้านบาท TARCO จำนวน 63.14 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 4.43 ล้านบาท 2.2.3 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 1,929.23 ล้านบาท ประกอบด้วย - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อายุ 7 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ย 3-Month THBFIX + 0.90% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี จำนวน 800 ล้านบาท โดยบริษัทฯได้ดำเนินการบริหารความเสี่ยงใน ด้านอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้จำนวนนี้ โดยการทำ Interest Rate Swap กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นดอกเบี้ยคงที่ในอัตราร้อยละ 4.65 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 676 ล้านบาท จากวงเงินกู้รวม 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ 10 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.25% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี - เงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้าง Hydrant จำนวน 453.23 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืม ระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ย Libor + 2.75% และ 700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR อายุสัญญา 10 ปี นับจากปี 2545 ระยะเวลาปลอดหนี้ 5 ปี โดย TARCO ได้เจรจาต่อรองขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินสกุล ดอลลาร์สหรัฐเป็น Libor + 1.75% และเงินสกุลบาทเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.75% โดยมีผล ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2547 เมื่อบริษัทฯกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินครบจำนวนแล้ว จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี บริษัทฯมีนโยบายที่จะดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าวไม่ให้เกิน 2 ต่อ 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงของฐานะ การเงินของบริษัทฯ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังการเปิดให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,042.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546จำนวน 341.76 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯจำนวน 363.50 ล้าน และมีส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ในบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจำนวน 189.06 ล้านบาท ในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2546 และครึ่งปีแรกของปี 2547 รวมจำนวน 210.80 ล้านบาท 3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต บริษัทฯมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ TARCO ในวงเงินสินเชื่อ 700 ล้านบาท และ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และรวมถึงดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้ให้สินเชื่อใช้ไปในการฟ้องร้องบังคับชำระหนี้ ซึ่งภาระ หนี้สินจะเกิดขึ้นเมื่อ TARCO ผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้ำประกันและถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด ถูกบังคับคดีนำทรัพย์สินออก ขายทอดตลาดแล้วเหลือหนี้สินอีกเท่าไร คือภาระที่บริษัทฯต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้ให้สินเชื่อ TARCO มีผลขาดทุนสุทธิในปี 2547 จำนวน 4.70 ล้านบาท โดยมีรายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 0.25 ล้านบาท กำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน 2.20 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 7.16 ล้านบาท ทำให้ TARCO มีผลขาดทุน สะสมสิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2547 เป็นจำนวน 20.56 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2547 TARCO มีภาระหนี้สินสกุลเงิน บาทจำนวน 327 ล้านบาทและหนี้สินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวน 3.22 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน TARCO มี ทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว 530 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีภาระในการจ่ายชำระเงินค่าหุ้นใน JP-One ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50 เป็นจำนวน เงิน 120 ล้านบาท ในปี 2548 โดยในปี 2547 JP-One มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 5.01 ล้านบาท โดยมีดอก เบี้ยรับ 0.39 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 5.40 ล้านบาท ทำให้ JP-One มีขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2547 จำนวน 5.01 ล้านบาท โดย ณ 31 ธันวาคม 2547 JP-One มีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาทและ ทุนเรียกชำระแล้ว 360 ล้านบาท จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (ม.ร.ว. ศุภดิศ ดิศกุล) กรรมการผู้จัดการ