บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับไตรมาส1/48

ที่ กผ. 079/2548 วันที่ 13 พฤษภาคม 2548 เรื่อง บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2548 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2548 1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน 1.1 รายได้ 1.1.1 รายได้ค่าบริการ บริษัทมีรายได้ค่าบริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ทั้งสิ้น 267.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.01 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.78 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ปริมาณน้ำมันที่ ให้บริการและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการ เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีที่ผ่านมา โดยปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในปี 2547 มีปริมาณเท่ากับ 997.61 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 16.21 ล้านลิตร หรือร้อยละ 1.65 เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2547 ปัจจัยสำคัญอีกประการที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ค่าบริการของบริษัทฯกำหนดเป็นอัตราที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทเฉลี่ย แข็งค่าขึ้น จาก 39.31 บาทต่อดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2547 เป็นประมาณ 38.63 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 คิดเป็นอัตราการแข็งค่าขึ้นถึงร้อยละ 1.72 ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 2.34 เซนต์ต่อแกลลอน เป็น 2.58 เซนต์ต่อแกลลอนตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2547 คิดเป็นอัตราการปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ทำให้อัตราค่าบริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 สูงกว่า ช่วงเดียวกันของปี 2547 อยู่ร้อยละ 10 ดังนั้นเมื่อรวมกับการที่บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.65 ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.72 ทำให้รายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.78 1.1.2 รายได้ค่าเช่า บริษัทฯมีรายได้ค่าเช่าในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ทั้งสิ้น 14.70 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และระบบรับน้ำมันทางท่อ แก่บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) จำนวน 14.32 ล้านบาท และรายได้จากการ ให้เช่าที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแก่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) จำนวน 0.38 ล้านบาท โดย รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1.07 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.82 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่า ระบบรับน้ำมันทางท่อจาก FPT จำนวน 1.03 ล้านบาท ซึ่งค่าเช่าดังกล่าวคิดเป็นอัตราลอยตัวอ้างอิงจากรายได้ค่า ขนส่งน้ำมัน JET A-1 ของ FPT สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 FPT มียอดรายได้จากการขนส่งน้ำมัน JET A-1 เพิ่ม ขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ปี 2547 เนื่องจากมีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการขนส่งน้ำมันของ FPT ประกอบกับการที่ FPT มีปริมาณน้ำมันผ่านท่อสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ปีก่อนในอัตราประมาณร้อยละ 5.95 1.1.3 รายได้อื่น สำหรับรายได้อื่นของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 มียอดทั้งสิ้น 8.72 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับจาก FPT จำนวน 1.19 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุนระยะสั้นจำนวนประมาณ 0.44 ล้านบาท เงินต้นที่ได้รับชำระจาก FPT ตามตารางการจ่ายชำระหนี้ในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ครั้งที่ 3 และเงินต้นที่ได้รับชำระ ก่อนกำหนดจำนวน 3.45 ล้านบาท ซึ่งเงินต้นที่บริษัทฯให้กู้ยืมแก่ FPT จำนวนนี้ บริษัทฯได้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ แล้วทั้งจำนวนในปี 2545 ดังนั้น เงินต้นที่ได้รับชำระคืนทั้งหมดจะบันทึกเป็นรายได้อื่น และค่าธรรมเนียมค้ำประกันจาก TARCO จำนวน 1.32 ล้านบาท 1.2 ค่าใช้จ่าย 1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ ไตรมาสที่ 1 ปี 2548 บริษัทฯมีต้นทุนการให้บริการทั้งสิ้น 85.69 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย รายการสำคัญๆ ดังนี้ ค่า เช่าท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอดของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ("ทอท.") จำนวน 10.54 ล้านบาท ค่า เช่าที่ดิน 4.65 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ จำนวน 6.16 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันภัย ประเภท All Risks Insurance จำนวน 2.30 ล้านบาท และ Third Party Legal Liability Insurance จำนวน 3.96 ล้าน บาท ค่าเสื่อมราคา จำนวน 15.39 ล้านบาท เงินเดือนและค่าล่วงเวลาพนักงานจำนวน 23.64 ล้านบาท และเงินผล ประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงาน จำนวน 7.30 ล้านบาท ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 0.63 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.74 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2547 โดยสาเหตุที่ต้นทุนการให้ บริการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องมาจากการที่บริษัทฯได้รับค่าเช่าท่อส่งน้ำมันสำหรับท่อส่วนต่อขยายที่ ทอท.เรียกเก็บ ย้อนหลังเป็นจำนวน 8.72 ล้านบาทเมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2547 คืน ทำให้ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันที่บริษัทฯเช่าจาก ทอท.ลด ลงประมาณ 7.69 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯมี ค่าใช้จ่ายสำคัญๆที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เงินเดือนพนักงานจำนวน 1.26 ล้านบาท ค่าล่วงเวลา 1.48 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นมากของจำนวนเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงาน จำนวน 5.68 ล้านบาท นอกจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นข้างต้นแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายบางรายการที่ลดลง ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาลดลง 1.69 ล้านบาท 1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 จำนวน 41.47 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ เงินเดือนพนักงานจำนวน 13.01 ล้านบาท เงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงานจำนวน 2.05 ล้านบาท ค่า เสื่อมราคา 3.51 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน 2.95 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 8.95 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.50 จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายการสำคัญๆ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของเงินเดือนพนักงานจำนวน 2.97 ล้านบาท เงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานจำนวน 2.05 ล้านบาท ค่า เสื่อมราคาจำนวน 0.99 ล้านบาท 1.2.3 ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่ายสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 จำนวน 9.40 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืมระยะยาว 800 ล้านบาท จากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งจำนวน 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 คิดเป็นจำนวน 116.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.74 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8.14 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2547 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 107.34 ล้านบาท เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้างต้น และมีกำไรต่อหุ้นๆละ 0.34 บาท 2. รายงานและการวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 สินทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม จำนวน 5,528.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 956.29 ล้าน บาท หรือร้อยละ 20.92 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2547 โดยสินทรัพย์ที่สำคัญ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ประกอบด้วย รายการสำคัญๆดังนี้ 2.1.1 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลงจาก 333.99 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 เป็น 330.38 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 หรือลดลง 3.60 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการได้มาและใช้ไปของเงินสดและ เงินลงทุนระยะสั้นที่สำคัญดังนี้ - บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 302.39 ล้านบาท เนื่องมาจากรายการสำคัญๆ ดังนี้ กำไรสุทธิประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2548 จำนวน 116.08 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 19.30 ล้านบาท สินทรัพย์ หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 30.51 ล้านบาท ลูกหนี้และเงินทดรองแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มขึ้น 10.65 ล้านบาท เจ้าหนี้การ ค้าลดลง 11.84 ล้านบาทและหนี้สินหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 217.93 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายการเจ้าหนี้ค่าก่อสร้าง ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย - กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนมีจำนวน 804.73 ล้านบาท โดยใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการคลังน้ำมัน 462.81 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการเติมน้ำมันอากาศยานจำนวน 43.97 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการระบบท่อ ส่งน้ำมันอากาศยานใต้ลานจอดของ TARCO จำนวน 192.12 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นทาง มักกะสัน - สุวรรณภูมิของ JP-One จำนวน 108.92ล้านบาท และจ่ายเงินสดตามสัญญาซื้อสิทธิเรียกร้องงวดสุดท้าย จำนวน 17.30 ล้านบาท นอกจากนี้ JP-One ได้นำเงินสดไปลงทุนเป็นเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 120 ล้านบาท สำหรับกระแสเงินสดรับจากกิจกรรมลงทุน ได้แก่การที่บริษัทฯและบริษัทย่อยได้รับเงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ JP-One จำนวน 75 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2548 - กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินมีจำนวน 498.74 ล้านบาท โดยบริษัทฯและบริษัทในเครือมีเงินกู้ยืมระยะยาว เพิ่มขึ้น 500.53 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินกู้ยืมของบริษัทฯเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการคลังน้ำมันและโครงการให้ บริการเติมน้ำมันอากาศยาน จำนวน 379 ล้านบาท ในขณะที่ TARCO มีเงินกู้ยืมระยะยาวเพิ่มขึ้น 121.53 ล้านบาท โดยเป็นการเบิกเงินกู้ในส่วนของเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 2.20 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินบาท 35 ล้านบาท 2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2548 มีจำนวน 3,845.37 ล้าน บาท ประกอบด้วยที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์ของบริษัทฯ จำนวน 2,395.33 ล้านบาท และเป็นงาน ระหว่างก่อสร้างและอุปกรณ์ของ TARCO จำนวน 1,149.16 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 300.89 ล้านบาท 2.1.3 ค่าความนิยม ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุนเมื่อเดือนสิงหาคม 2546 ทำให้บริษัทฯต้องบันทึกรายการดังกล่าวเป็นค่าความนิยม จำนวน 768.01 ล้านบาท และตัดจำหน่ายตามอายุ สัมปทาน เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยจะเริ่มตัดจำหน่ายเมื่อ TARCO เปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ 2.2 หนี้สิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมจำนวน 3,295.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 765.91 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.27 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2547 คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 1.48 ต่อ 1 เท่า โดย แบ่งเป็นรายการสำคัญๆได้ดังนี้ 2.2.1 หนี้สินหมุนเวียนจำนวน 536.58 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ เจ้าหนี้การค้า 42.49 ล้านบาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลค้างจ่ายจำนวน 69.22 ล้านบาท และเจ้าหนี้อื่นจำนวน 398.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการเจ้าหนี้ ค่าก่อสร้างของบริษัทฯและบริษัทในเครือเป็นส่วนใหญ่ 2.2.2 เงินประกันผลงานจำนวน 229.64 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินประกันผลงานของบริษัทฯจำนวน 140.92 ล้านบาท TARCO จำนวน 74.19 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 14.53 ล้านบาท 2.2.3 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 2,429.76 ล้านบาท ประกอบด้วย - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อายุ 7 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ย 3-Month THBFIX + 0.90% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี จำนวน 800 ล้านบาท โดยบริษัทฯได้ดำเนินการบริหารความเสี่ยงใน ด้านอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้จำนวนนี้ โดยการทำ Interest Rate Swap กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นดอกเบี้ยคงที่ในอัตราร้อยละ 4.65 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,055 ล้านบาท จากวงเงินกู้รวม 2,000 ล้าน บาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ 10 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.25% ระยะเวลาปลอด หนี้ 3 ปี - เงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้าง Hydrant จำนวน 574.76 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืม ระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ย Libor + 1.75% และ 700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.75% อายุสัญญา 10 ปี นับจากปี 2545 ระยะเวลาปลอด หนี้ 5 ปี เมื่อบริษัทฯกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินครบจำนวนแล้ว จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯเพิ่มขึ้น มาก อย่างไรก็ดี บริษัทฯมีนโยบายที่จะดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าวไม่ให้เกิน 2 ต่อ 1 เท่า เพื่อรักษาความ มั่นคงของฐานะการเงินของบริษัทฯ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังการเปิดให้บริการที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,232.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2547 จำนวน 190.38 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯจำนวน 116.08 ล้าน และมีส่วน ของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจำนวน 75 ล้านบาท 3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต บริษัทฯมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ TARCO ในวงเงินสินเชื่อ 700 ล้านบาท และ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และรวมถึงดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้ให้สินเชื่อใช้ไปในการฟ้องร้องบังคับชำระหนี้ ซึ่งภาระหนี้สินจะเกิดขึ้นเมื่อ TARCO ผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้ำประกันและถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด ถูกบังคับคดีนำ ทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้วเหลือหนี้สินอีกเท่าไร คือภาระที่บริษัทฯต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้ให้สินเชื่อ TARCO มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 จำนวน 3.04 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 1.54 ล้านบาทและมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1.50 ล้านบาท ทำให้ TARCO มีผลขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2548 เป็นจำนวน 23.60 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2548 TARCO มีภาระหนี้สินสกุลเงินบาท จำนวน 362 ล้านบาทและหนี้สินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวน 5.42 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน TARCO มีทุนจดทะเบียน และทุนเรียกชำระแล้ว 530 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีภาระในการจ่ายชำระเงินค่าหุ้นใน JP-One ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50 เป็น จำนวนเงิน 45 ล้านบาท ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 JP-One มีผลการดำเนินงาน ขาดทุนสุทธิ 0.83 ล้านบาท โดยมีดอกเบี้ยรับ 0.72 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 1.55 ล้านบาท ทำให้ JP-One มีขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2548 จำนวน 5.85 ล้านบาท โดย ณ 31 มีนาคม 2548 JP- One มีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาทและทุนเรียกชำระแล้ว 510 ล้านบาท จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ ( ม.ร.ว. ศุภดิศ ดิศกุล ) กรรมการผู้จัดการ