บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับไตรมาส 2/48

ที่ กผ. 115/2548 วันที่ 8 สิงหาคม 2548 เรื่อง บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2548 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2548 1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน 1.1 รายได้ 1.1.1 รายได้ค่าบริการ บริษัทมีรายได้ค่าบริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ทั้งสิ้น 277.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.02 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.03 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อรายได้ ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีที่ผ่านมา โดยปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีปริมาณเท่ากับ 991.29 ล้านลิตรเพิ่มขึ้น 20.19 ล้านลิตร หรือร้อยละ 2.08 เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ปัจจัยสำคัญอีกประการที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ค่าบริการของบริษัทฯกำหนดเป็นอัตราที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐ โดยค่าเงินบาทเฉลี่ย ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีค่าไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่อัตราประมาณ 40.44 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ไม่มีผลกระทบใดๆต่อรายได้ของบริษัทฯในไตรมาสนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 2.34 เซนต์ต่อแกลลอน เป็น 2.58 เซนต์ต่อแกลลอนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547 คิดเป็นอัตราการปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ทำให้อัตรา ค่าบริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2547 อยู่ร้อยละ 10 ดังนั้นเมื่อรวมกับการ ที่บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.08 ทำให้รายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.03 1.1.2 รายได้ค่าเช่า บริษัทฯมีรายได้ค่าเช่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ทั้งสิ้น 9.67 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเช่า อาคารสำนักงานและระบบรับน้ำมันทางท่อ แก่บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) จำนวน 9.29 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแก่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) จำนวน 0.38 ล้านบาท โดยรายได้ค่าเช่าลดลงจากปีที่ผ่านมา 3.46 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 26.38 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการลดลงของค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อจาก FPT จำนวน 3.53 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯปรับลดอัตราค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อลงจากร้อยละ 28 เหลือร้อยละ 21.5 ของรายได้ค่าขนส่งน้ำมัน JET A-1 ของ FPT ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 จากการที่บริษัทฯลดจำนวนถัง ที่ให้เช่าจาก 3 ถัง เหลือ 2 ถัง เพื่อย้ายไปติดตั้งใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรับน้ำมันทางท่อให้ บริษัท เจพี-วัน แอสเซ็ท จำกัด (JP-One) เช่าใช้งานที่คลังน้ำมันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1.1.3 รายได้อื่น สำหรับรายได้อื่นของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มียอดทั้งสิ้น 9.95 ล้านบาท ประกอบ ด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับจาก FPT จำนวน 1.18 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุน ระยะสั้นจำนวนประมาณ 0.64 ล้านบาท เงินต้นที่ได้รับชำระจาก FPT ตามตารางการจ่ายชำระหนี้ใน สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ครั้งที่ 3 และเงินต้นที่ได้รับชำระก่อนกำหนดจำนวน 5.06 ล้านบาท ซึ่งเงินต้น ที่บริษัทฯให้กู้ยืมแก่ FPT จำนวนนี้ บริษัทฯได้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญแล้วทั้งจำนวนในปี 2545 ดังนั้นเงินต้นที่ได้รับชำระคืนทั้งหมดจะบันทึกเป็นรายได้อื่น และค่าธรรมเนียมค้ำประกันจาก บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด (TARCO) จำนวน 1.60 ล้านบาท 1.2 ค่าใช้จ่าย 1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ ไตรมาสที่ 2 ปี 2548 บริษัทฯมีต้นทุนการให้บริการทั้งสิ้น 91.96 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย รายการสำคัญๆ ดังนี้ ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอดของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (?ทอท.?) จำนวน 18.69 ล้านบาท ค่าเช่าที่ดิน 4.65 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ จำนวน 5.14 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันภัย ประเภท All Risks Insurance จำนวน 2.34 ล้านบาท และ Third Party Legal Liability Insurance จำนวน 4.10 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา จำนวน 15.40 ล้านบาท เงินเดือน พนักงานจำนวน 18.73 ล้านบาท ค่าล่วงเวลาจำนวน 5.16 ล้านบาท และเงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงาน ของพนักงาน จำนวน 5.23 ล้านบาท ต้นทุนการให้บริการลดลง 1.07 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.15 จากไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เนื่องจาก บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายสำคัญๆที่ลดลง ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาจำนวน 1.39 ล้านบาท และเงินผลประโยชน์ เมื่อออกจากงานของพนักงาน จำนวน 4.40 ล้านบาท ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายบางรายการที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันจำนวน 0.51 ล้านบาท ค่าน้ำมันสำหรับยานพาหนะจำนวน 0.47 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ 1.10 ล้านบาท เงินเดือนพนักงานจำนวน 1.71 ล้านบาท และค่าล่วงเวลาจำนวน 0.63 ล้านบาท 1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 จำนวน 65.85 ล้านบาท ประกอบ ด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ เงินเดือนพนักงานจำนวน 13.25 ล้านบาท ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 11.95 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับ สถาบันการเงินที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 40.44 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือน มิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2548 ในวงเงินรวม 10.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินผลประโยชน์เมื่อออก จากงานของพนักงานจำนวน 4.12 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 3.58 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน 2.33 ล้านบาท นอกจากนี้ เป็นรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ TARCO จำนวน 11.89 ล้านบาท จากเงินกู้จำนวน 5.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่คงค้างอยู่ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 18.82 ล้านบาท หรือร้อยละ 40.02 จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากราย การสำคัญๆ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของเงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานจำนวน 1.81 ล้านบาท ขาดทุนจาก อัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 13.09 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ TARCO จำนวน 10.39 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้แก่ ค่าภาษีโรงเรือนจำนวน 5.19 ล้านบาท เนื่องจากเลื่อนไปจ่ายในเดือนกรกฎาคม 1.2.3 ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทฯมีดอกเบี้ยจ่ายสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2548 จำนวน 9.48 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ยจ่ายจาก เงินกู้ยืมระยะยาว 800 ล้านบาท จากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งจำนวน 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2548 คิดเป็นจำนวน 91.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.44 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 0.49 จากไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 91.02 ล้านบาท (ตามงบการเงินฉบับปรับปรุง ซึ่งมีการตั้งสำรองเผื่อผลประโยชน์เมื่อออกจากงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เพิ่มขึ้นจำนวน 8.97 ล้านบาท) เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และมีกำไรต่อหุ้นๆละ 0.24 บาท จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทฯมีกำไร สุทธิทั้งสิ้น 207.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.21 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.1 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร ต่อหุ้นๆละ 0.58 บาท และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 3/2548 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2548 ได้มีมติอนุมัติ ให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2548 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท รวมเป็น เงินทั้งสิ้น 106.25 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯที่จะจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของบริษัทฯ 2. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม จำนวน 6,151.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 623.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 โดยสินทรัพย์ที่สำคัญ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ประกอบด้วยรายการสำคัญๆดังนี้ 2.1.1 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลงจาก 330.38 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส ที่ 1 ปี 2548 เป็น 314.20 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 หรือลดลง 16.19 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด การได้มาและใช้ไปของเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นที่สำคัญดังนี้ กำไรสุทธิ 91.46 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 19.48 ล้านบาท ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน 22.52 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการคลังน้ำมัน (114.04) ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการเติมน้ำมันอากาศยาน (200.05) ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันฯของ TARCO (210.72) ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันฯ JP-One (116.48) ล้านบาท เงินรับจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของบริษัทย่อย 45.00 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน 313.00 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินของ TARCO 59.35 ล้านบาท เงินปันผลจ่าย (34.00) ล้านบาท 2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีจำนวน 4,544.23 ล้านบาท ประกอบด้วยที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์ของบริษัทฯ จำนวน 2,752.62 ล้านบาท และเป็นงานระหว่างก่อสร้างและอุปกรณ์ของ TARCO จำนวน 1,362.10 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 429.35 ล้านบาท 2.1.3 ค่าความนิยม ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุน เมื่อเดือนสิงหาคม 2546 ทำให้บริษัทฯต้องบันทึกรายการดังกล่าวเป็นค่าความนิยม จำนวน 768.01 ล้าน บาท และตัดจำหน่ายตามอายุสัมปทาน เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยจะเริ่มตัดจำหน่ายเมื่อ TARCO เปิด ให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ 2.2 หนี้สิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมจำนวน 3,818.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 522.20 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.84 เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2548 คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 1.64 ต่อ 1 เท่า โดยแบ่งเป็นรายการสำคัญๆได้ดังนี้ 2.2.1 หนี้สินหมุนเวียนจำนวน 615.95 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ เจ้าหนี้ การค้า 44.37 ล้านบาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลค้างจ่ายจำนวน 57.26 ล้านบาท และเจ้าหนี้อื่นจำนวน 480.86 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างของบริษัทฯและบริษัทย่อยเป็นส่วนใหญ่ 2.2.2 เงินประกันผลงานจำนวน 280.03 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินประกันผลงานของบริษัทฯ จำนวน 173.13 ล้านบาท TARCO จำนวน 80.33 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 26.57 ล้านบาท 2.2.3 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 2,815.14 ล้านบาท ประกอบด้วย - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อายุ 7 ปี นับจากปี 2547 อัตรา ดอกเบี้ยร้อยละ 4.65 ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,368 ล้านบาท จากวงเงินกู้ รวม 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ 10 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.25% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี - เงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้างท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอด จำนวน 647.14 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 8 ล้านเหรียญ สหรัฐ อัตราดอกเบี้ย Libor + 1.75% และ 700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.75% อายุสัญญา 10 ปี นับจากปี 2545 ระยะเวลาปลอดหนี้ 5 ปี 2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,333.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส ที่ 1 ปี 2548 จำนวน 100.84 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากผลการดำเนินงานจำนวน 91.46 ล้านบาท โดย บริษัทฯจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2547 ทั้งสิ้น 119 ล้านบาท ซึ่งมีบางส่วนจ่ายเป็น หุ้นปันผล ทำให้บริษัทฯมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วเพิ่มขึ้น 85 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ในบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจำนวน 45 ล้านบาท 3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต บริษัทฯมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ TARCO ในวงเงินสินเชื่อ 700 ล้านบาท และ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และรวมถึงดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้ให้สินเชื่อใช้ไปในการฟ้องร้อง บังคับชำระหนี้ ซึ่งภาระหนี้สินจะเกิดขึ้นเมื่อ TARCO ผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้ำประกันและถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจน ถึงที่สุด ถูกบังคับคดีนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้วเหลือหนี้สินอีกเท่าไร คือภาระที่บริษัทฯต้องรับผิดชดใช้ ให้แก่ผู้ให้สินเชื่อ TARCO มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 จำนวน 13.36 ล้านบาท โดยมีรายได้จากดอกเบี้ยรับ จำนวน 0.24 ล้านบาท ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 1.71 ล้านบาทและมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 11.89 ล้านบาท ทำให้ TARCO มีผลขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2548 เป็นจำนวน 36.97ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2548 TARCO มีภาระหนี้สินสกุลเงินบาทจำนวน 402 ล้านบาทและหนี้สินสกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐจำนวน 5.92 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน TARCO มีทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว 530 ล้าน บาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีเงินลงทุนใน JP-One ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50 เป็นจำนวนเงิน ทั้งสิ้น 300 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 JP-One มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 0.61 ล้านบาท โดยมี ดอกเบี้ยรับ 0.93 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 1.54 ล้านบาท ทำให้ JP-One มีขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2548 จำนวน 6.45 ล้านบาท โดย ณ 30 มิถุนายน 2548 JP-One มีทุนจดทะเบียนและเรียก ชำระแล้ว 600 ล้านบาท จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ ( ม.ร.ว. ศุภดิศ ดิศกุล ) กรรมการผู้จัดการ