SET Announcements
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ประจำปี 2549
ที่ กผ. 025 /2550
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2550
เรื่อง บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2549
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2549
1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
1.1 รายได้
1.1.1 รายได้ค่าบริการ
บริษัทฯ มีรายได้ค่าบริการในปี 2549 ทั้งสิ้น 1,421.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 281.70 ล้านบาท หรือร้อยละ
24.7 เทียบกับปี 2548 ที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าบริการของบริษัทฯ ได้แก่
1) ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 4,070.40 ล้านลิตรในปี 2548 ที่ผ่านมาเป็น 4,270.62 ล้านลิตรในปี 2549
เพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านลิตรหรือร้อยละ 5 ซึ่งเป็นไปตามอัตราการเติบโตตามภาวะธุรกิจการบินโดยทั่วไป และเป็น
ไปตามการคาดการณ์ที่บริษัทฯ ได้ประมาณการไว้
2) การปรับขึ้นอัตราค่าบริการเติมน้ำมันอากาศยานที่สนามบินดอนเมืองจาก 2.58 เซนต์ต่อแกลลอน เป็น 2.74
เซนต์ต่อแกลลอนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2549 และปรับขึ้นเป็น 6 เซนต์ต่อแกลลอนในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ตามลำดับ
ส่งผลให้อัตราค่าบริการเติมน้ำมันโดยเฉลี่ยของบริษัทฯ ที่สนามบินดอนเมืองสูงกว่าปี 2548 ที่ผ่านมาประมาณร้อยละ
132.6
3) การเปิดใช้อย่างเป็นทางการของสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2549 ซึ่งบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด
สำหรับการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานสูงถึง ร้อยละ 90 โดยในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาจำนวนเที่ยวบิน ผู้โดยสาร
และการขนส่งสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงส่งทางบวกต่อการปรับตัวขึ้นของรายได้ค่าบริการของบริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับผลกระทบทางลบเล็กน้อยจากการแข็งค่าขึ้นของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่าง
ประเทศ เนื่องจากรายได้ค่าบริการของบริษัทกำหนดเป็นอัตราที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทเฉลี่ย
แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจาก 40.36 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2548 เป็นเฉลี่ยประมาณ 37.80 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2549 คิด
เป็นอัตราการแข็งค่าขึ้นร้อยละ 6.35
1.1.2 รายได้ค่าเช่า
บริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่าในปี 2549 ทั้งสิ้น 30.37 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเช่าอาคารสำนักงานและ
ระบบรับน้ำมันทางท่อแก่ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) จำนวน 27.48 ล้านบาท และรายได้จากการให้
เช่าที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแก่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) จำนวน 2.89 ล้านบาท โดย
รายได้ค่าเช่าลดลงจากปีที่ผ่านมา 13.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30.9 ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของ
ค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อจาก FPT เนื่องจากปริมาณน้ำมันผ่านท่อที่มายังคลังน้ำมันของบริษัทฯ ที่ท่าอากาศยาน
ดอนเมืองลดลง ซึ่งเป็นผลของการย้ายสนามบินหลักไปยังสนามบินสุวรรณภูมิในปัจจุบัน
1.1.3 รายได้อื่น
สำหรับรายได้อื่นของบริษัทฯ ในปี 2549 มียอดทั้งสิ้น 81.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อย
ละ 118.2 ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับจำนวน 12.70 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมการ
ค้ำประกันจาก บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด (TARCO) ในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ของยอดสินเชื่อค้างชำระจำนวน
10.9 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของ TARCO จำนวน 36.8 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยรับ
จาก TARCO จำนวน 0.40 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของ JP-One จำนวน 0.24 ล้าน
บาท และรายได้ดอกเบี้ยรับจาก JP-One จำนวน 0.77 ล้านบาท
1.2 ค่าใช้จ่าย
1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ
ปี 2549 บริษัทฯ มีต้นทุนการให้บริการทั้งสิ้น 535.05 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ดังนี้ ค่า
สัมปทานการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 63 ล้านบาท ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันของบริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (?ทอท.?) จำนวน 55.52 ล้านบาท ค่าเช่าที่ดิน 16.37 ล้านบาท ค่าซ่อมแซม
อุปกรณ์ จำนวน 24.43 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันภัย ประเภท All Risks Insurance จำนวน 9.63 ล้านบาท
และ Third Party Legal Liability Insurance จำนวน 15.97 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคาจำนวน 65.37 ล้าน
บาท เงินเดือนพนักงานและค่าตอบแทนพิเศษประจำปี จำนวน 141.45 ล้านบาท และนอกจากนี้ยังมีการบันทึกสำรอง
เพื่อผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับปี 2549 จำนวน 43.85 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ
รับประกันจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้แก่พนักงานที่เข้างานก่อน วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ในกรณีที่เงินได้ครั้งเดียวเมื่อ
ออกจากงานที่พนักงานได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่ำกว่าที่พนักงานควรได้รับ ตามระเบียบสวัสดิการผลประโยชน์
เมื่อออกจากงานของบริษัทฯ ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้พนักงานสมัครเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพราะมีผลให้ค่าใช้จ่ายของบริษัท
ฯลดลงในระยะยาว ซึ่งการบันทึกสำรองเพื่อตัดเป็นค่าใช้จ่ายนี้จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบ
หากมีพนักงานลาออกในอนาคต แต่สำหรับพนักงานที่เข้างานหลังวันดังกล่าวบริษัทฯไม่มีภาระรับประกันแต่อย่างใดเพราะ
บริษัทฯได้ยกเลิกระเบียบสวัสดิการผลประโยชน์เมื่อออกจากงานไปแล้ว
ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 150.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.96 จากปี 2548 โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลัก 3
ประการ คือ 1) การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าสัมปทานการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งบริษัทฯ ต้อง
จ่ายให้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ในอัตรา 0.06 บาทต่อลิตรตามปริมาณการให้บริการ
เติมน้ำมันอากาศยานของบริษัทฯ ก่อนหักค่าใช้จ่าย 2) การเพิ่มขึ้นของรายการสำรองเพื่อผลประโยชน์เมื่อออกจาก
งานของพนักงานจำนวน 23.13 ล้านบาท และ 3)การเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมราคาของบริษัทฯ จำนวน 4.89 ล้านบาท
และการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมราคาของTARCO 14.96 ล้านบาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันที่บริษัทฯ เช่าจาก ทอท. ปรับลดลงจำนวน 11.11 ล้านบาท และ ตั้งแต่วันที่ 28
กันยายน 2549 เป็นต้นไปนั้น บริษัทฯ ได้รับการยกเว้นค่าเช่าท่อส่งน้ำมันข้างต้นจาก ทอท. ขณะที่ต้นทุนการให้บริการที่
สำคัญบางรายการเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ได้แก่ เงินเดือนและค่าตอบแทนพิเศษประจำปี เพิ่มขึ้น 20.81 ล้านบาท ค่าน้ำมัน
รถเพิ่มขึ้น 2.72 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์เพิ่มขึ้นจำนวน 3.72 ล้านบาท นอกจากนี้ ต้นทุนการให้บริการของ
TARCO และ JP-One ในปี 2549 ที่ผ่านมาจำนวน 21.09 ล้านบาท และ 14.50 ล้านบาท ตามลำดับ
1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารในปี 2549 จำนวน 253.99 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่
เงินเดือนพนักงานและค่าตอบแทนพิเศษประจำปีจำนวน 88.33 ล้านบาท เงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงาน
จำนวน 18.81 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคา 16.58 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน
13.02 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์จำนวน 12.63 ล้านบาท นอกจากนี้ เป็นรายการค่าใช้
จ่ายในการบริหารของ TARCO ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 14.55 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการ
บริหารของ JP-One จำนวน 7.86 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 33.60 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.2 จากปีที่ผ่านมา เนื่องจาก รายการสำคัญๆ
ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ได้แก่ เงินเดือนและค่าตอบแทนพิเศษประจำปี จำนวน 13.50 ล้าน
บาท การเพิ่มขึ้นของค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวน 7.55 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน
3.04 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของค่าบริการยามรักษาความปลอดภัยจำนวน 5.08 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคาจำนวน 2.14
ล้านบาท และเงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานของพนักงานเพิ่มขึ้นจำนวน 9.77 ล้านบาท
1.2.3 ดอกเบี้ยจ่าย
บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่าย ปี 2549 จำนวน 80.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 42.93 ล้านบาท หรือคิดเป็น
ร้อยละ 113.0 โดยรายการหลักๆ เป็นดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืมระยะยาว 800 ล้านบาท จากธนาคารกสิกรไทย
จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 37.41 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด
(มหาชน) จำนวน 2,000 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 23.23 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืมระยะยาวของ
TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้าง Hydrant ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน
8 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 870 ล้านบาท จำนวนเงิน 17.97 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืมระยะยาวของ
JP-One เพื่อใช้ในการลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นทางมักกะสัน ? สุวรรณภูมิ จำนวน 120 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้
ยืมระยะยาวจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวนเงิน 1.65 ล้านบาท
1.3 สรุปผลการดำเนินงาน
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2549 คิดเป็นจำนวน 461.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.11 ล้านบาท หรือร้อยละ
10.5 จากปี 2548 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 417.57 ล้านบาท เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และมี
กำไรต่อหุ้นประมาณหุ้นละ 1.09 บาท และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท
ฯครั้งที่ 1/2550 มีมติให้นำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2549 ใน
อัตรา 0.62 บาทต่อหุ้น แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 424,998,370 หุ้น คิดเป็นเงินปันผลรวม 263,498,989.40 บาท หรือคิด
เป็นอัตราการจ่ายปันผล (Payout Ratio) ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 57 ของกำไรสุทธิของบริษัทฯ โดย บริษัทฯ ได้
จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น คงเหลืออีกจำนวน 0.42 บาทต่อหุ้นโดยจ่ายเป็นเงินสด
ปันผลหุ้นละ 0.22 บาท และหุ้นปันผลที่อัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 424,998,370 หุ้น ซึ่งสูง
กว่านโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ โดยกำหนดวันปิด
สมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 2 พฤษภาคม 2550 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และให้
กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 พฤษภาคม 2550
2. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
2.1 สินทรัพย์
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม จำนวน 7,508.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 858.78
ล้านบาท หรือร้อยละ 12.91 เมื่อเทียบกับปี 2548 โดยสินทรัพย์ที่สำคัญในปี 2549 ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ดังนี้
2.1.1 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้นจาก 351.06 ล้านบาท ในปี
2548 เป็น 685.33 ล้านบาท ในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้น 334.27 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการได้มาและใช้ไปของ
เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นที่สำคัญดังนี้
- บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 555.60 ล้านบาท เนื่องมาจากกำไร
สุทธิประจำปี 2549 จำนวน 461.47 ล้านบาท ปรับด้วยรายการที่ทำให้กระแสเงินสดเพิ่มขึ้นได้แก่ ค่าเสื่อมราคา
105.23 ล้านบาท สำรองเผื่อผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 54.29 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 11.04 ล้านบาท
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลง 9.74 ล้านบาทและหนี้สินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 35.82 ล้านบาท
สำหรับรายการที่ทำให้กระแสเงินสดลดลง ได้แก่ กำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 43.23
ล้านบาท รายการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 12.04 ล้านบาทจากการรับชำระหนี้เงินต้นคืนจาก FPT ลูกหนี้
การค้ารวมทั้งลูกหนี้และเงินทดรองแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มขึ้น 74.07 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น
1.37 ล้านบาท
- กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนมีจำนวน 671.61 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้เป็นเงินลงทุนในที่ดิน สิ่ง
ปรับปรุงสินทรัพย์เช่า และอุปกรณ์โครงการของบริษัทฯ จำนวน 413.54 ล้านบาท
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินมีจำนวน 450.28 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร
เพิ่มขึ้น 675.28 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวตามสัญญาเช่าทางการเงินจำนวน 17.24 ล้านบาท และจ่ายเป็น
เงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 242.25 ล้านบาท
2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ในปี 2549 มีจำนวน 5,771.59 ล้านบาท ประกอบด้วย
ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์ของบริษัทฯ จำนวน 3,377.76 ล้านบาท และเป็นงานระหว่างก่อสร้างของ
TARCO จำนวน 1,702.20 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 691.63 ล้านบาท
2.1.3 ค่าความนิยม ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุนเมื่อเดือนสิงหาคม
2546 ทำให้บริษัทฯต้องบันทึกรายการดังกล่าวเป็นค่าความนิยม จำนวน 768.06 ล้านบาท และตัดจำหน่ายตามอายุ
สัมปทาน เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยจะเริ่มตัดจำหน่ายเมื่อ TARCO เปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันได้ตัด
จำหน่ายไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 6.66 ล้านบาท
2.2 หนี้สิน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมจำนวน 4,842.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 628.52
ล้านบาท หรือร้อยละ 14.92 เมื่อเทียบกับปี 2548 คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 1.82 ต่อ 1 เท่า โดยเป็น
หนี้สินหมุนเวียนจำนวน 387.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.66 จากปี
ที่ผ่านมา และคิดเป็นอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียนเท่ากับ 2.49 : 1 เท่า โดยหนี้สินทั้งหมด
สามารถแบ่งเป็นรายการสำคัญๆได้ดังนี้
2.2.1 เจ้าหนี้การค้าจำนวน 48.12 ล้านบาท ประกอบด้วย เจ้าหนี้การค้าบริษัทที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 28.24 ล้าน
บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าสัมปทานการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน และเจ้าหนี้การค้าอื่นๆ จำนวน 19.89 ล้านบาท
2.2.2 ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 177.78 ล้านบาท และส่วนของ
หนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 9.04 ล้านบาท
2.2.3 หนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 152.20 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคลค้างจ่าย
จำนวน 54.97 ล้านบาท เจ้าหนี้อื่นจำนวน 30.71 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างของบริษัทฯ และบริษัท
ในเครือเป็นส่วนใหญ่ และหนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 66.52 ล้านบาท โดยยอดรวมของหนี้สินหมุนเวียนอื่นลดลงจากปีที่
ผ่านมา 94.13 ล้านบาท
2.2.4 เงินประกันผลงานจำนวน 363.69 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินประกันผลงานของบริษัทฯ จำนวน 196.64 ล้าน
บาท TARCO จำนวน 118.03 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 49.07 ล้านบาท
2.2.5 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 3,902.07 ล้านบาท ประกอบด้วย
- เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 622.22 ล้านบาท อายุสัญญา 7 ปี นับ
จากปี 2547 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.65 ระยะเวลาปลอดการชำระเงินต้น 3 ปี โดยบริษัทฯมีกำหนดชำระคืน
เงินต้นงวดแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2550
- เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ 10
ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.25%
- เงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้าง Hydrant จำนวน 1,159.85 ล้านบาท ซึ่งเป็น
เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยLibor + 1.75%
และ 700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.75% อายุสัญญา 10 ปี นับจากปี 2545 ระยะเวลา
ปลอดการชำระเงินต้น 5 ปี ซึ่งเบิกกู้ครบทั้งจำนวนแล้ว นอกจากนี้ TARCO ได้รับวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมจาก BBL อีก
300 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR - 2.5% โดยส่วนลดจะลดลง 0.25% ทุกๆ 6 เดือนนับจากวันทำสัญญาเงินกู้เมื่อ
วันที่ 2 พฤษภาคม 2549 จนถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ MLR - 1.5% ซึ่ง ณ สิ้นปี 2549 TARCO ได้กู้เงินจากส่วนนี้เพิ่ม
เพียงจำนวน 170 ล้านบาท
- เงินกู้ยืมระยะยาวของ JP-One เพื่อใช้ในการลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นทางมักกะสัน - สุวรรณภูมิ
จำนวน 120 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่อัตราดอกเบี้ย MLR - 2.5%
โดยส่วนลดจะลดลง 0.25% ทุกๆ 6 เดือนนับจากวันทำสัญญาเงินกู้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548 จนถึงอัตราดอกเบี้ยสูง
สุดที่ MLR -1% ระยะเวลาปลอดการชำระเงินต้นถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2550 อายุสัญญาประมาณ 7 ปี
เมื่อบริษัทฯกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินครบจำนวนแล้ว จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯเพิ่มขึ้นมาก
อย่างไรก็ดี บริษัทฯมีนโยบายที่จะดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าวไม่ให้เกิน 2 ต่อ 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงของ
ฐานะการเงินของบริษัทฯ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังการเปิดให้บริการที่ท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิ
2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,666.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548จำนวน
230.27 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.45 เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
จำนวน 461.47 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจำนวน 11.04 ล้านบาท ในขณะที่มีการ
จ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2548 และครึ่งปีแรกของปี 2549 รวมจำนวน 245.25 ล้านบาท
3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต
บริษัทฯมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ TARCO ในวงเงินสินเชื่อ 870 ล้านบาท
และ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และรวมถึงดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้ให้สินเชื่อใช้ไปในการฟ้องร้องบังคับชำระหนี้
ซึ่งภาระหนี้สินจะเกิดขึ้นเมื่อ TARCO ผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้ำประกันและถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด ถูกบังคับคดีนำ
ทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้วเหลือหนี้สินอีกเท่าไร คือภาระที่บริษัทฯ ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้ให้ สินเชื่อ
TARCO มีผลกำไรสุทธิในปี 2549 จำนวน 113.10 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการให้บริการจำนวน 166.17
ล้านบาท ในขณะที่มีต้นทุนในการดำเนินงาน 21.09 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 14.55 ล้านบาท
ดอกเบี้ยจ่าย 17.97 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 36.81 ทำให้ ณ 31 ธันวาคม 2549 TARCO มีผล
กำไรสะสมจำนวน 73.35 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2549 TARCO มีภาระหนี้สินสกุลเงินบาทจำนวน 870 ล้านบาทและ
หนี้สินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบัน TARCO มีทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว
530 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ JP-One ตามสัดส่วนการถือหุ้น
ในอัตราร้อยละ 50 ของยอดหนี้ค้างชำระ สำหรับวงเงินสินเชื่อระยะยาว 120 ล้านบาท โดยในปี 2549 JP-One มี
ผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 0.68 ล้านบาท โดยรายได้ค่าบริการผ่านท่อจำนวน 22.56 ล้านบาท มีต้นทุนในการให้
บริการจำนวน 14.50 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 7.86 ล้านบาท ทำให้ JP-One มีขาดทุนสะสม
สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 8.30 ล้านบาท โดย ณ 31 ธันวาคม 2549 JP-One มีทุนจดทะเบียนและเรียก
ชำระแล้ว 600 ล้านบาท
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
( ม.ร.ว. ศุภดิศ ดิศกุล )
กรรมการผู้จัดการ
งานกฎหมายและตลาดหลักทรัพย์
โทร 02-565-3811-8 ต่อ 373