ข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 47
ที่ กผ.088 /2547
วันที่ 10 สิงหาคม 2547
เรื่อง บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 2 ปี 2547
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 2 ปี 2547
1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
1.1 รายได้
1.1.1 รายได้ค่าบริการ
บริษัทมีรายได้ค่าบริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ทั้งสิ้น 245.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.66 ล้าน
บาท หรือร้อยละ 34.23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อรายได้
ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งใน
ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเท่ากับ 971.10 ล้านลิตรเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียว
กันของปีก่อนถึง 209.58 ล้านลิตร หรือร้อยละ 27.52 แต่ลดลง 10.30 ล้านลิตร หรือร้อยละ 1.05 เทียบ
กับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากไตรมาสที่ 2 ปี 2546 บริษัทฯได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค
ซาร์สอย่างรุนแรงทำให้ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในช่วงดังกล่าวลดลงอย่างมาก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว
ได้คลี่คลายลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2546 และต่อจากนั้นธุรกิจการบินในประเทศไทยเริ่มมีการเจริญ
เติบโตขึ้นมาเป็นลำดับ โดยมีสายการบินใหม่ๆบินมาลงที่ท่าอากาศยานกรุงเทพเพิ่มมากขึ้นหลายสาย
การบินตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลอดจนการเปิดดำเนินงานและเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำหลาย
สาย ทำให้จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นมาก ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่บริษัทฯให้บริการใน
ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2546 อย่างมาก แต่ลดลงเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่
ผ่านมา แม้ว่าไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจการบิน
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน
เงินตราต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ค่าบริการของบริษัทฯกำหนดเป็นอัตราที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์
สหรัฐ โดยค่าเงินบาทเฉลี่ย แข็งค่าขึ้นจาก 42.72 บาทต่อดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2546 เป็นประมาณ
40.44 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 คิดเป็นอัตราการแข็งค่าขึ้นร้อยละ 5.35 ซึ่งเมื่อรวมกับผล
กระทบจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในอัตราร้อยละ 27.52 และการปรับอัตราค่าบริการ
ขึ้นร้อยละ 10 ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ทำให้รายได้ค่าบริการของบริษัทฯในไตรมาสที่ 2 ปี 2547
เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
1.1.2 รายได้ค่าเช่า
บริษัทฯมีรายได้ค่าเช่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 ทั้งสิ้น 13.13 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย
ค่าเช่าอาคารสำนักงานและระบบรับน้ำมันทางท่อ แก่บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) จำนวน
12.79 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแก่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย
จำกัด (THAPPLINE) จำนวน 0.34 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 2.46
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.06 ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อ
จาก FPT จำนวน 2.46 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯกำหนดค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อนี้ในอัตราร้อยละ 28
ของรายได้ค่าขนส่งน้ำมัน JET A-1 ของ FPT และรายได้ค่าบริการขนส่งน้ำมันของ FPT ในไตรมาสที่ 2
ปี 2547 เพิ่มสูงขึ้นจากอัตราค่าบริการที่ปรับเพิ่มขึ้น
1.1.3 รายได้อื่น
สำหรับรายได้อื่นของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มียอดทั้งสิ้น 8.07 ล้านบาท ประกอบ
ด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับจาก FPT จำนวน 1.23 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุน
ระยะสั้นจำนวนประมาณ 0.43 ล้านบาท เงินต้นที่ได้รับชำระคืนจาก FPT ตามตารางการจ่ายชำระหนี้ใน
สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ครั้งที่ 3 จำนวน 1.61 ล้านบาท และเงินต้นที่ได้รับชำระก่อนกำหนดจำนวน
4.33 ล้านบาท
1.2 ค่าใช้จ่าย
1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ
ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 บริษัทฯมีต้นทุนการให้บริการทั้งสิ้น 86.37 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยราย
การสำคัญๆ ดังนี้ ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ("ทอท.") จำนวน
18.18 ล้านบาท ค่าเช่าที่ดิน 4.79 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ จำนวน 4.04 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันภัย
ประเภท All Risks Insurance จำนวน 2.61 ล้านบาท และ Aviation Third Party Legal Liability
Insurance จำนวน 3.98 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา จำนวน 16.79 ล้านบาทและเงินเดือนพนักงานจำนวน
17.02 ล้านบาท
ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 4.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.75 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย
สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการให้บริการมาจากการปรับเพิ่มขึ้นค่าเช่าท่อส่งน้ำมันที่บริษัทฯ
เช่าจาก ทอท. ประมาณ 2.25 ล้านบาท ตามอัตราการเพิ่มขึ้นของ CPI และการจ่ายเงินได้ครั้งเดียว
เมื่อออกจากงานและเงินชดเชยตามกฏหมายแรงงานให้แก่พนักงานที่เกษียณอายุจำนวน 2.65 ล้านบาท
1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 จำนวน 44.72 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายการสำคัญๆ ได้แก่ เงินเดือนพนักงานจำนวน 11.52 ล้านบาท ภาษีโรงเรือน 5.19 ล้านบาท ค่าเสื่อม
ราคา 3.27 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน 1.98 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการ
ฝึกอบรมและปฏิบัติงานในต่างประเทศ 1.69 ล้านบาทและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจำนวน
4.32 ล้านบาท นอกจากนี้ เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทฯย่อย ได้แก่ TARCO จำนวน 1.57 ล้าน
บาท และ JP-One จำนวน 2.20 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 12.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 40.32 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน
มา เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนพนักงานจำนวน 3.19 ล้านบาท จากการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนประ
จำปีและการปรับค่าครองชีพในเดือนมิถุนายน ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและปฏิบัติงานในต่างประเทศ
จำนวน 1.69 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 4.32 ล้าน
1.3 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิ สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2547 คิดเป็นจำนวน 99.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.95 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 46.95 จากช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 68.04 ล้านบาท เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆดังที่
ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และมีกำไรต่อหุ้นๆละ 0.29 บาท
จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2547 บริษัทฯมีกำไร
สุทธิทั้งสิ้น 207.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.55 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ
มีกำไรต่อหุ้นๆละ 0.61 บาท และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 3/2547 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 ได้มี
มติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2547 ในอัตราหุ้นละ 0.30
บาท ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯที่จะจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของ
บริษัทฯ
2.รายงานและการวิเคราะห์ฐานะการเงิน
2.1 สินทรัพย์
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม จำนวน 3,775.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
237.34 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.71 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2547 โดยสินทรัพย์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2547
ประกอบด้วยรายการสำคัญๆดังนี้
2.1.1 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นลดลงจาก 433.18
ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 2547 เป็น 380.66 ล้านบาท หรือลดลง 52.53 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการ
ได้มาและใช้ไปของเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นที่สำคัญดังนี้
เงินสดจากการดำเนินงาน 120.46 ล้านบาท
เงินลงทุนในโครงการคลังน้ำมัน (150.89) ล้านบาท
เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันฯของ TARCO (84.20) ล้านบาท
เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันฯ JP-One (70.45) ล้านบาท
เงินสดจ่ายล่วงหน้าค่าก่อสร้างคลังน้ำมัน 13.70 ล้านบาท
เงินสดจ่ายล่วงหน้าค่าก่อสร้างท่อส่งน้ำมันฯของ TARCO 4.89 ล้านบาท
เงินสดจ่ายล่วงหน้าค่าก่อสร้าง JP-One 5.89 ล้านบาท
หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ 97.42 ล้านบาท
เงินสดจ่ายตามสัญญาซื้อสิทธิเรียกร้อง (17.30) ล้านบาท
เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 80.00 ล้านบาท
เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน 79.29 ล้านบาท
เงินปันผลจ่าย (108.80) ล้านบาท
2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 มีจำนวน
2,310.39 ล้านบาท ประกอบด้วยที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์ของบริษัทฯ จำนวน
1,377.24 ล้านบาท งานระหว่างก่อสร้างของ TARCO จำนวน 862.65 ล้านบาทและงานระหว่างก่อสร้าง
ของ JP-One จำนวน 70.45 ล้านบาท
2.1.3 ค่าความนิยม ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุน
ทำให้บริษัทฯต้องบันทึกรายการดังกล่าวเป็นค่าความนิยม จำนวน 768.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส
ที่ผ่านมา 12 ล้านบาท เนื่องจาก TARCO มีการเรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในเดือนมิถุนายน จำนวน 120
ล้านบาท โดยบริษัทฯเป็นผู้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนแทน บทม. จำนวน 12 ล้านบาท และบันทึกรายการ
ดังกล่าวเป็นค่าความนิยม โดยค่าความนิยมนี้จะตัดจำหน่ายตามอายุสัมปทาน เป็นระยะเวลา 30 ปี ซึ่งจะ
เริ่มตัดจำหน่ายเมื่อ TARCO เปิดให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ
2.2 หนี้สิน
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมจำนวน 1,834.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
235.78 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.75 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2547 คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ
0.94 ต่อ 1 เท่า โดยแบ่งเป็นรายการสำคัญๆได้ดังนี้
2.2.1 หนี้สินภายใต้สัญญาซื้อสิทธิเรียกร้องที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี จำนวน 51.89 ล้าน
บาท เนื่องจากในปี 2544 บริษัทฯ มีการบันทึกสำรองค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจากการค้ำประกัน FPT จำนวน
415.11 ล้านบาทเป็นหนี้สินของบริษัทฯ ซึ่งต่อมาในปี 2545 บริษัทฯได้ปลดภาระค้ำประกันดังกล่าวโดย
การซื้อสิทธิเรียกร้องจากเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ของ FPT และรับภาระหนี้แทนทั้งจำนวน โดยบันทึกเป็นหนี้
สินของบริษัทฯภายใต้ชื่อบัญชี "ภาระหนี้สินภายใต้สัญญาซื้อสิทธิเรียกร้อง" โดยบริษัทฯได้ชำระเงิน
งวดแรกให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ไปเป็นจำนวน 207.55 ล้านบาทในวันที่ทำสัญญา และส่วนที่เหลือจำนวน
207.55 ล้านบาทนั้น บริษัทฯต้องผ่อนชำระทุกไตรมาสๆละ 17.30 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 12 ไตรมาส
เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2545 ถึงเดือนมีนาคม 2548
2.2.2 หนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 325.25 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ ภาษี
เงินได้นิติบุคคลค้างจ่ายจำนวน 47.81 ล้านบาท และเจ้าหนี้อื่นจำนวน 261.64 ล้านบาท
2.2.3 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 1,320.91 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะยาว
จากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3-Month THBFIX + 0.90% ระยะเวลา
ปลอดหนี้ 3 ปี จำนวน 800 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 75
ล้านบาท จากวงเงินกู้รวม 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน
+ 1.25% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี และเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้าง
Hydrant จำนวน 445.91 ล้านบาท
เมื่อบริษัทฯกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินครบจำนวนแล้ว จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ
บริษัทฯเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี บริษัทฯมีนโยบายที่จะดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าวไม่ให้เกิน 2 ต่อ 1 เท่า
เพื่อรักษาความมั่นคงของฐานะการเงินของบริษัทฯ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังการเปิด
ให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2547 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 1,941.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่
1 ปี 2547 จำนวน 1.56 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี
2547 จำนวน 99.99 ล้านบาท ในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2546 ในส่วนที่เหลืออีก
จำนวน 108.80 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทย่อย คือ TARCO เพิ่มขึ้นจำนวน 12 ล้านบาท
ที่เหลือเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของบริษัทย่อยตามสัดส่วนการถือหุ้น
3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต
บริษัทฯมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าจากการเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับ TARCO ในวงเงิน
สินเชื่อ 700 ล้านบาท และ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งภาระหนี้สินจะเกิดขึ้นเมื่อ TARCO เกิดภาวะการมีเงินไม่เพียง
พอที่จะชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยต่อผู้ให้สินเชื่อ และบริษัทฯจะมีภาระทางการเงินในจำนวนเงินที่ผู้ให้สินเชื่อ
เห็นว่าเพียงพอที่จะแก้ไขภาวะการมีเงินไม่เพียงพอของ TARCO
TARCO มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 จำนวน 5.88 ล้านบาท เนื่องจาก TARCO ยังไม่เริ่ม
เปิดให้บริการ จึงยังไม่มีรายได้จากการดำเนินงาน มีเพียงรายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 0.09 ล้านบาท และมีราย
การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 4.40 ล้านบาทเนื่องจากมีเงินกู้ต่างประเทศสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินบาท
อ่อนตัวทำให้มีหนี้สินระยะยาวจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 1.57 ล้านบาท ทำ
ให้ TARCO มีผลขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เป็นจำนวน 22.51 ล้านบาท โดย ณ 30 มิถุนายน
2547 TARCO มีภาระหนี้สินสกุลเงินบาทจำนวน 327 ล้านบาทและหนี้สินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวน 2.898
ล้านเหรียญ ปัจจุบัน TARCO มีทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว 530 ล้านบาท
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(ม.ร.ว. ศุภดิศ ดิศกุล )
กรรมการผู้จัดการ