ปี 2567 ถือเป็นปีที่ตอกย้ำว่า BAFS Group ได้พลิกฟื้นจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว โดยปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 3,507 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 14% และเป็นปีแรกที่กลุ่มบริษัทกลับมามีกำไรสุทธิ นับตั้งแต่เผชิญวิกฤตการแพร่ระบาดดังกล่าว โดยมีกำไรสุทธิ 102.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 175%

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ สำหรับผลการดำเนินงาน ปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 36% สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

และความพร้อมที่จะสร้างการเติบโตไปพร้อมกับท่านผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม อย่างยั่งยืนต่อไป

Bafs

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่

บริษัทให้บริการน้ำมันอากาศยานในปี 2567

สูงถึง 5,047 ล้านลิตร ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า

%

คิดเป็นสัดส่วน

%

เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยบริษัทยังคงพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการน้ำมันอากาศยานอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2567 บริษัทได้เริ่มให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานระดับ 2 ตามมาตรฐานของสมาคมขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA Into-Plane Fueling Service Level 2) ซึ่งการให้บริการในระดับที่สูงขึ้นดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนให้แก่สายการบินที่รับบริการจากบริษัท

ทั้งนี้ บุคลากรของบริษัทได้รับการฝึกอบรมและสามารถให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานได้สูงสุดถึงระดับ 3 ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายขอบเขตการให้บริการในอนาคต นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการน้ำมันอากาศยาน บริษัทได้ร่วมกับบริษัท บาฟส์ อินโนเวชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (BID) พัฒนาระบบ Intelligent Refuelling Information System (IRIS) ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการน้ำมันอากาศยานไว้ในระบบเดียว และจะนำมาใช้ในการให้บริการน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในเดือนเมษายน 2568 และท่าอากาศยานดอนเมือง ในปี 2569

เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน บริษัทจึงผลักดันการให้บริการน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ซึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทได้ให้บริการเติม SAF ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานสมุย โดยล่าสุด บริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC-CORSIA ในขอบเขตของ Logistic Center เพื่อรองรับการให้บริการ SAF ทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง

สำหรับธุรกิจอื่น ๆ (Non-core Business) ปีที่ผ่านมา ธุรกิจการขนส่งน้ำมันทางท่อมีการเติบโตที่โดดเด่น โดยบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด (BPT) สามารถขนส่งน้ำมันผ่านท่อภาคเหนือได้ 1,226 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 46% และล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2568 BPT ได้เดินหน้าเริ่มก่อสร้างโครงการเชื่อมต่อระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือ ระยะที่ 3 (อ่างทอง-สระบุรี) และจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ จะทำให้ระบบท่อขนส่งน้ำมันของ BPT มีระยะทางรวมกว่า 726 กิโลเมตร ถือเป็นระบบท่อขนส่งน้ำมันที่ยาวที่สุดในอาเซียน ในขณะเดียวกัน ธุรกิจพลังงานทดแทน โดยบริษัท บาฟส์ คลีน เอนเนอร์ยี่ คอร์เปอเรชั่น จำกัด อยู่ระหว่างขยายการลงทุนในประเทศมองโกเลีย และยังคงหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

แม้ปี 2567 จะมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่โลกยังมีความผันผวนและความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งความท้าทายจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่พลังงานที่ยั่งยืน และเร่งให้ขับเคลื่อนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความเปราะบาง ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว

BAFS Group ยังคงมุ่งมั่นสร้างคุณค่าที่ดี เพื่อเติมเต็มสังคมและโลก จึงได้วางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน และปรับวิสัยทัศน์ใหม่ เป็น “เติมเต็มอนาคต ไร้ขีดจำกัด” หรือ “Reimagining Asia’s Sustainable Future, Uplifting the World of Infinite Opportunities.”

โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 8% ในปี 2568 และเติบโตมากกว่า 30% ภายในปี 2572 ผ่านการขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์ 5 ปี (2568-2572) ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก (1) ขยายการลงทุนสู่ภูมิภาคเอเชีย (Solid Financials for Uplifting Asia) (2) ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี การรักษามาตรฐาน คุณภาพ การให้บริการด้วยความปลอดภัย และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบพื้นที่ที่กลุ่มบริษัทไปดำเนินกิจการ (Sustainability and Governance for a Thriving Future) และ (3) พัฒนาศักยภาพของบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับโลกอนาคต (Re-imagining the Future of Work for Human Empowerment)

ผมขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น พันธมิตร คู่ค้าทางธุรกิจ และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุนบริษัทมาโดยตลอดกว่า 40 ปี และขอขอบคุณสมาชิกในองค์กรทุกท่านที่ทุ่มเทและมุ่งมั่น ก้าวข้ามผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายร่วมกันมา ผมเชื่อมั่นว่า พลังแห่งความร่วมมือนี้จะขับเคลื่อน BAFS Group ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าต่อสังคมและโลกตามปณิธานของกลุ่มบริษัทต่อไป