บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 47

ที่ กผ. 118/2547 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2547 เรื่อง บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 1.รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน 1.1 รายได้ 1.1.1 รายได้ค่าบริการ บริษัทมีรายได้ค่าบริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ทั้งสิ้น 257.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.11 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อรายได้ ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งใน ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 บริษัทฯมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเท่ากับ 987.67 ล้านลิตรเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียว กันของปีก่อนถึง 141.03 ล้านลิตร หรือร้อยละ 16.66 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 16.57 ล้านลิตร หรือร้อยละ 1.71 เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากไตรมาสที่ 3 ปี 2546 บริษัทฯยังคงได้รับผลกระทบจากการ แพร่ระบาดของโรคซาร์จนถึงเดือนกรกฎาคมและเที่ยวบินต่างๆ โดยเฉพาะเที่ยวบินไปยังประเทศจีน ฮ่องกงและสิงคโปร์เริ่มกลับมาใช้บริการเติมน้ำมันเป็นปกติในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของ ปริมาณน้ำมันที่บริษัทฯให้บริการเติมในไตรมาสที่ 3 นี้ ยังเป็นผลมาจากการที่มีสายการบินใหม่ๆบินมา ลงที่ท่าอากาศยานกรุงเทพเพิ่มมากขึ้นหลายสายการบินตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลอดจนการเปิดดำเนินงาน และเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำหลายสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินนกแอร์ ในเครือการ บินไทย ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการในปลายเดือนกรกฎาคม 2547 ทำให้จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นมาก ปัจจัย เหล่านี้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่บริษัทฯให้บริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2546 อย่างมาก แต่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญอีกประการที่มีผลกระทบต่อรายได้ค่าบริการของบริษัทฯได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ค่าบริการของบริษัทฯกำหนดเป็นอัตราที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐ โดยค่าเงินบาทเฉลี่ย แข็งค่าขึ้นจาก 41.56 บาทต่อดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2546 เป็นประมาณ 41.46 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 คิดเป็นอัตราการแข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.26 ซึ่งเมื่อรวมกับผล กระทบจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันที่ให้บริการในอัตราร้อยละ 16.66 และการปรับอัตราค่าบริการ ขึ้นร้อยละ 10 ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ทำให้รายได้ค่าบริการของบริษัทฯในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.85 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.1.2 รายได้ค่าเช่า บริษัทฯมีรายได้ค่าเช่าในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ทั้งสิ้น 15.13 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเช่าอาคารสำนักงานและระบบรับน้ำมันทางท่อ แก่บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) จำนวน 14.76 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแก่บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) จำนวน 0.38 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 2.55 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.24 ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อ จาก FPT จำนวน 2.56 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯกำหนดค่าเช่าระบบรับน้ำมันทางท่อนี้ในอัตราร้อยละ 28 ของรายได้ค่าขนส่งน้ำมัน JET A-1 ของ FPT และรายได้ค่าบริการขนส่งน้ำมันของ FPT ในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอัตราค่าบริการที่ปรับเพิ่มขึ้นและปริมาณน้ำมันผ่านท่อเพิ่มมากขึ้น 1.1.3 รายได้อื่น สำหรับรายได้อื่นของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มียอดทั้งสิ้น 7.06 ล้านบาท ประกอบ ด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยรับจาก FPT จำนวน 1.22 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุน ระยะสั้นจำนวนประมาณ 0.34 ล้านบาท เงินต้นที่ได้รับชำระคืนจาก FPT ตามตารางการจ่ายชำระหนี้ใน สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ครั้งที่ 3 จำนวน 1.61 ล้านบาท และเงินต้นที่ได้รับชำระก่อนกำหนดจำนวน 3.05 ล้านบาท 1.2 ค่าใช้จ่าย 1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 บริษัทฯมีต้นทุนการให้บริการทั้งสิ้น 83.77 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยราย การสำคัญๆ ดังนี้ ค่าเช่าท่อส่งน้ำมันของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ("ทอท.") จำนวน 18.18 ล้านบาท ค่าเช่าที่ดิน 4.80 ล้านบาท ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์ จำนวน 4.60 ล้านบาท ค่าเบี้ยประกันภัย ประเภท All Risks Insurance จำนวน 2.61 ล้านบาท และ Aviation Third Party Legal Liability Insurance จำนวน 3.98 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา จำนวน 16.55 ล้านบาทและเงินเดือนพนักงานจำนวน 17.52 ล้านบาท ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 4.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.51 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการให้บริการมาจากการปรับเพิ่มขึ้นค่าเช่าท่อส่งน้ำมันที่บริษัทฯ เช่าจาก ทอท. ประมาณ 2.25 ล้านบาท ตามอัตราการเพิ่มขึ้นของ CPI และการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน พนักงานและค่าล่วงเวลาจำนวน 2.50 ล้านบาท เนื่องจากการปรับเงินเดือนประจำปี ประกอบกับการเพิ่ม ขึ้นของจำนวนเที่ยวบินของสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้มีค่าล่วงเวลาพนักงานเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก 1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 จำนวน 56.95 ล้านบาท ประกอบด้วย รายการสำคัญๆ ได้แก่ เงินเดือนพนักงานจำนวน 11.86 ล้านบาท เงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงาน 19.71 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 3.26 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จำนวน 2.61 ล้านบาท นอกจากนี้ เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทฯย่อย ได้แก่ TARCO จำนวน 1.71 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 1.13 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 24.74 ล้านบาท หรือร้อยละ 76.79 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน มา สาเหตุหลักเนื่องจากรายการเงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานจำนวน 19.71 ล้านบาท จากการลาออก และเกษียณอายุของพนักงานระดับบริหาร 1.2.3 ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทฯมีดอกเบี้ยจ่ายในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 จำนวน 5.70 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายการ สำคัญๆคือ ดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 800 ล้าน บาท ที่อัตราดอกเบี้ย THBFIX+ 0.9% เป็นจำนวนเงิน 4.56 ล้านบาท และดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมระยะสั้น จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 200 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.125 เป็นจำนวน เงิน 0.93 ล้านบาท 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2547 คิดเป็นจำนวน 100.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.86 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 29.37 จากช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 77.85 ล้านบาท เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆดังที่ได้ กล่าวมาแล้วข้างต้น และมีกำไรต่อหุ้นๆละ 0.30 บาท จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2547 บริษัทฯมีกำไร สุทธิทั้งสิ้น 308.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.00 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ มีกำไรต่อหุ้นๆละ 0.91 บาท 2.รายงานและการวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม จำนวน 4,176.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 400.60 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.61 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2547 โดยสินทรัพย์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ประกอบด้วยรายการสำคัญๆดังนี้ 2.1.1 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น เพิ่มขึ้นจาก 380.66 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เป็น 472.66 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 92.01 ล้านบาท โดยมีรายการได้มาและใช้ไปของเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นที่สำคัญดังนี้ - บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 54.19 ล้านบาท เนื่อง มาจากกำไรสุทธิของไตรมาสที่ 3 จำนวน 100.72 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 20.23 ล้านบาท และหนี้สิน หมุนเวียนอื่นลดลง 66.86 ล้านบาท เนื่องจากการเปลี่ยนวิธีการบันทึกรายการเงินประกันผลงานจากหนี้ สินหมุนเวียนอื่นไปเป็นรายการเงินประกันผลงานภายใต้หนี้สินไม่หมุนเวียนจำนวน 130.52 ล้านบาท - กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนมีจำนวน 225.66 ล้านบาท โดยใช้เป็นเงินลงทุนใน โครงการคลังน้ำมัน 144.14 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการเติมน้ำมันอากาศยานจำนวน 24.31 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการระบบท่อส่งน้ำมันอากาศยานใต้ลานจอดของ TARCO จำนวน 39.16 ล้านบาท เงินลงทุนในโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นทางมักกะสัน ? สุวรรณภูมิของ JP-One จำนวน 100.03 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯและบริษัทย่อยได้รับเงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ JP-One จำนวน 105 ล้าน บาท และจ่ายเงินสดตามสัญญาซื้อสิทธิเรียกร้อง 17.30 บาท - กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินมีจำนวน 263.48 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีเงินกู้ยืมระยะ สั้นเพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวเพิ่มขึ้น 232 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการคลังน้ำ มันและเติมน้ำมันอากาศยาน ในขณะที่ TARCO มีเงินกู้ยืมระยะยาวเพิ่มขึ้น 15.03 ล้านบาท โดยเป็นการ เบิกเงินกู้ในส่วนของเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 0.32 ล้านเหรียญดอลลาร์ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 และ จ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 102 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2547 2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีจำนวน 2,583.67 ล้านบาท ประกอบด้วยที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์ของบริษัทฯ จำนวน 1,556.50 ล้านบาท งานระหว่างก่อสร้างของ TARCO จำนวน 902.22 ล้านบาทและงานระหว่างก่อสร้าง ของ JP-One จำนวน 124.95 ล้านบาท 2.1.3 ค่าความนิยม ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุน ทำให้บริษัทฯต้องบันทึกรายการดังกล่าวเป็นค่าความนิยม จำนวน 768.01 ล้านบาท โดยค่าความนิยมนี้ จะตัดจำหน่ายตามอายุสัมปทาน เป็นระยะเวลา 30 ปี ซึ่งจะเริ่มตัดจำหน่ายเมื่อ TARCO เปิดให้บริการที่ สนามบินสุวรรณภูมิ 2.2 หนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมจำนวน 2,132.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 297.79 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.23 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2547 คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 1.04 ต่อ 1 เท่า โดยแบ่งเป็นรายการสำคัญๆได้ดังนี้ 2.2.1 เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินจำนวน 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมจากธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งจำนวน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.125 เป็นการกู้มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อชำระค่าก่อสร้าง เนื่องจากเป็นแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำที่สุด 2.2.2 หนี้สินภายใต้สัญญาซื้อสิทธิเรียกร้องที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี จำนวน 34.59 ล้าน บาท เนื่องจากในปี 2544 บริษัทฯ มีการบันทึกสำรองค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจากการค้ำประกัน FPT จำนวน 415.11 ล้านบาทเป็นหนี้สินของบริษัทฯ ซึ่งต่อมาในปี 2545 บริษัทฯได้ปลดภาระค้ำประกันดังกล่าวโดย การซื้อสิทธิเรียกร้องจากเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ของ FPT และรับภาระหนี้แทนทั้งจำนวน โดยบันทึกเป็นหนี้ สินของบริษัทฯภายใต้ชื่อบัญชี "ภาระหนี้สินภายใต้สัญญาซื้อสิทธิเรียกร้อง" โดยบริษัทฯได้ชำระเงิน งวดแรกให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ไปเป็นจำนวน 207.55 ล้านบาทในวันที่ทำสัญญา และส่วนที่เหลือจำนวน 207.55 ล้านบาทนั้น บริษัทฯต้องผ่อนชำระทุกไตรมาสๆละ 17.30 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 12 ไตรมาส เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2545 ถึงเดือนมีนาคม 2548 โดยในปัจจุบันยังคงเหลือยอดผ่อนชำระอีก 2 ไตร มาส 2.2.3 หนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 143.59 ล้านบาท ประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ได้แก่ ภาษี เงินได้นิติบุคคลค้างจ่ายจำนวน 22.81 ล้านบาท และเจ้าหนี้อื่นจำนวน 99.66 ล้านบาท โดยเจ้าหนี้อื่นลด ลงจากไตรมาสที่ผ่านมา 161.98 ล้านบาท เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการบันทึกบัญชีเงินประกันผลงาน จากที่เคยบันทึกเป็นรายการหนี้สินอื่นภายใต้หัวข้อหนี้สินหมุนเวียนไปบันทึกเป็นรายการเงินประกัน ผลงานภายใต้หัวข้อหนี้สินไม่หมุนเวียน 2.2.4 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 1,567.93 ล้านบาท ประกอบด้วย - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อายุ 7 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอก เบี้ย 3-Month THBFIX + 0.90% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี จำนวน 800 ล้านบาท โดยบริษัทฯได้ดำเนิน การบริหารความเสี่ยงในด้านอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้จำนวนนี้ โดยการทำ Interest Rate Swap กับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นดอกเบี้ยคงที่ในอัตราร้อยละ 4.65 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 307 ล้านบาท จากวงเงินกู้รวม 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ 10 ปี นับจากปี 2547 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.25% ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี - เงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO เพื่อใช้ในการลงทุนสร้าง Hydrant จำนวน 460.93 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 8 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ย Libor + 2.75% และ 700 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR อายุสัญญา 10 ปี นับจากปี 2545 ระยะ เวลาปลอดหนี้ 5 ปี โดย TARCO ได้เจรจาต่อรองขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็น Libor + 1.75% และเงินสกุลบาทเป็น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.75% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2547 เมื่อบริษัทฯกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินครบจำนวนแล้ว จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ บริษัทฯเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี บริษัทฯมีนโยบายที่จะดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าวไม่ให้เกิน 2 ต่อ 1 เท่า เพื่อรักษาความมั่นคงของฐานะการเงินของบริษัทฯ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังการเปิด ให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 บริษัทฯมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 2,044.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ปี 2547 จำนวน 102.81 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีกำไรจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2547 จำนวน 100.72 ล้านบาท ซึ่งจ่ายเป็นเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปี 2547 จำนวน 102 ล้านบาท นอกจากนี้เป็นรายการส่วนของผู้ที่หุ้นส่วนน้อยใน JP-One จำนวน 105 ล้านบาท จากการเรียกชำระเงินเพิ่มทุนทั้ง สิ้น 210 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 ที่เหลือเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของบริษัทย่อยตามสัดส่วนการถือหุ้น 3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต บริษัทฯมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ TARCO ในวงเงินสินเชื่อ 700 ล้านบาท และ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และรวมถึงดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้ให้สินเชื่อใช้ไปในการฟ้องร้อง บังคับชำระหนี้ ซึ่งภาระหนี้สินจะเกิดขึ้นเมื่อ TARCO ผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้ำประกันและถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจน ถึงที่สุด ถูกบังคับคดีนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแล้วเหลือหนี้สินอีกเท่าไร บริษัทฯจึงต้องรับผิดชดใช้ให้ผู้ให้ สินเชื่อ TARCO มีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 จำนวน 3.57 ล้านบาท เนื่องจาก TARCO ยังไม่เริ่ม เปิดให้บริการ จึงยังไม่มีรายได้จากการดำเนินงาน และมีรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.86 ล้านบาทเนื่อง จากมีเงินกู้ต่างประเทศสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัวทำให้มีหนี้สินระยะยาวจากสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 1.71 ล้านบาท ทำให้ TARCO มีผลขาดทุนสะสมสิ้นสุด ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 เป็นจำนวน 26.09 ล้านบาท โดย ณ 30 กันยายน 2547 TARCO มีภาระหนี้สินสกุลเงินบาทจำนวน 327 ล้านบาทและหนี้สินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวน 3.22 ล้านเหรียญ ปัจจุบัน TARCO มีทุนจดทะเบียนและ ทุนเรียกชำระแล้ว 530 ล้านบาท จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (ม.ร.ว. ศุภดิศ ดิศกุล) กรรมการผู้จัดการ