บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ไตรมาส 3/2556

คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ที่ กผ. 211 / 2556 6 พฤศจิกายน 2556 เรื่อง รายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนของปี 2556 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนของปี 2556 1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน ในไตรมาส 3 ปี 2556 ปริมาณน้ำมันที่กลุ่มบริษัทให้บริการ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 มาอยู่ที่ 1,215 ล้านลิตรเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันในไตรมาส 3 ปี 2555 ที่ 1,079 ล้านลิตร ในขณะที่จำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการมีอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 มาอยู่ที่ 54,084 เที่ยวบิน จาก 45,624 เที่ยวบิน รายได้รวมของกลุ่มบริษัทในไตรมาสนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 925.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 311.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50.8 เมื่อเทียบกับรายได้ของไตรมาส 3 ปี 2555 ที่ 613.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 404.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 202.9 ล้านบาทหรือร้อยละ 100.5 จาก 201.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 43.7 และคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นสำหรับไตรมาสนี้ที่ 0.79 บาท เมื่อเทียบกับ 0.40 บาทต่อหุ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2555 ซึ่งสาเหตุหลักที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกเหนือไปจากการปรับตัวดีขึ้นของการดำเนินงานตามปรกติของกลุ่มธุรกิจที่ปริมาณน้ำมันมีอัตราการเติบโตสูง ถึงร้อยละ 12.6 แล้ว ในไตรมาสนี้เป็นไตรมาสแรกที่กลุ่มบริษัทได้นำผลการดำเนินงานของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2556 มารวมคำนวณในงบการเงินรวมด้วย เนื่องจาก ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของ FPT ในวันที่ 15 กรกฏาคม 2556 ทำให้บริษัทนำงบการเงินของ FPT มาจัดทำงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 15 กรกฏาคม 2556 เป็นต้นไป โดยมีรายได้ที่เกิดขึ้นจากการรวมคำนวณงบการเงินดังกล่าว ซึ่งเป็นรายได้ที่มิได้เกิดจากการการดำเนินงานตามปรกติ คือ รายได้จากการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 117.4 ล้านบาท และกำไรจากการรวมธุรกิจจำนวน 76.1 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในงวด 9 เดือนแรกของปี 2556 ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการมีจำนวน 3,644 ล้านลิตรมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่จำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการมีจำนวน 158,484 เที่ยวบินมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 ซึ่งบริษัทยังคงครองความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยาน และมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจให้บริการเติมน้ำมัน (INTOPLANE SERVICE) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอยู่ประมาณร้อยละ 87 ในขณะที่รายได้รวมในช่วง 9 เดือนของปีนี้มีจำนวน 2,249.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 370.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.7 และมีกำไรสุทธิจำนวน 840.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 245.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.4 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ร้อยละ 37.4 และคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 1.65 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนของปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 594.8 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ร้อยละ 31.7 และคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 1.17 บาท สำหรับความคืบหน้าของการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) และบริษัท เจพี-วัน แอสเซ็ท จำกัด (JP-One) นั้น เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการในการรองรับการขยายธุรกิจให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อของกลุ่ มบริษัทในอนาคต เป็นการสร้างรากฐานความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและเพิ่มมูลค่าของกิจการ อีกทั้ง เพื่อให้การกำหนดนโยบายการบริหารงานเป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้ดำเนินการควบรวมกิจการระหว่าง FPT และ JP-One เข้าด้วยกัน ให้กลายเป็น FPT เพียงบริษัทเดียว โดยอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของ FPT จากจำนวน 139.3 ล้านบาท เป็นจำนวน 260.7 ล้านบาท โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวให้แก่ JP-One ที่โอนทรัพย์สินและกิจการทั้งหมดให้แก่ FPT และมีมติอนุมัติให้เลิกบริษัท JP-One ภายหลังการโอนกิจการทั้งหมด ซึ่งคาดว่าการควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 1.1 รายได้ รายได้รวมในงวด 9 เดือนของปี 2556 นี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 2,249.0 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.1.1 รายได้ค่าบริการ รายได้ค่าบริการมีจำนวนทั้งสิ้น 1,968.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 226.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.0 เมื่อเทียบกับรายได้ค่าบริการงวด 9 เดือนของปี 2555 ที่ 1,741.3 ล้านบาท โดยตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นมานั้น กลุ่มบริษัทได้นำรายได้ของ FPT จำนวน 85.0 ล้านบาทมารวมคำนวณด้วย และหากพิจาณาเปรียบเทียบกับรายได้ค่าบริการของกลุ่มบริษัทในงวด 9 เดือนของปี 2555 ที่ผ่านมาโดยไม่พิจารณารวมรายได้ค่าบริการของ FPT นั้น รายได้ค่าบริการของกลุ่มบริษัทปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1สอดคล้องกับอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันที่ร้อยละ 7.9 1.1.2 รายได้อื่น ในงวด 9 เดือนของปี 2556 กลุ่มบริษัทมีการบันทึกรายได้อื่นที่มีสาระสำคัญ คือ 1.1.2.1 รายได้จากการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ รายได้จากการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 123.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 3 ของปี 2556 สืบเนื่องจากในอดีตที่บริษัทได้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับเงินให้กู้ยืมแก่ FPT ในฐานะบริษัทย่อย ต่อมาปัจจุบันเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของ FPT ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 เนื่องจาก FPT ได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการจนบรรลุผลสำเร็จของแผนครบถ้วน และมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ บริษัทจึงดำเนินการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และบันทึกเป็นรายได้ (รายละเอียดตามหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 4.2) 1.1.2.2 กำไรจากการรวมธุรกิจ รายการนี้เป็นรายการที่เกิดขึ้นในจากการที่กลุ่มบริษัทได้นำงบการเงินของ FPT มาคำนวณรวมในงบการเงินรวม เนื่องจากบริษัทมีอำนาจควบคุมกิจการและการดำเนินงานของ FPT โดยสินทรัพย์สุทธิจากการรวมธุรกิจในส่วนของกลุ่มบริษัทมีจำนวน 252.8 ล้านบาท เมื่อปรับลดกับสิ่งตอบแทนการลงทุนจากการแปลงหนี้เป็นทุนของ FPT จำนวน 176.6 ล้านบาท กลุ่มบริษัทจึงมีกำไรจากการรวมธุรกิจจำนวน 76.1 ล้านบาท (รายละเอียดตามหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 8) 1.1.2.3 รายได้อื่น รายได้อื่นในงวด 9 เดือนของปี 2556 มีจำนวน 61.9 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 59.9 ล้านบาทหรือร้อยละ 49.2 เนื่องจากการได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเหตุการณ์น้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยลดลง โดยในไตรมาส 1 ปี 2556 บริษัทได้รับเงินชดเชยดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายจำนวน 17.3 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับค่าชดเชยที่บริษัทได้รับจำนวน 103.0 ล้านบาทในขณะช่วง 9 เดือนของปี 2555 1.2 ค่าใช้จ่าย 1.2.1 ต้นทุนการให้บริการ ต้นทุนการบริการมีจำนวน 769.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.7 จาก 682.5 ล้านบาทใน ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ต้นทุนบริการในช่วง 9 ดือนของปี 2556 สูงกว่าช่วง 9 เดือนของปี 2555 อย่างมีนัยสำคัญนั้นเนื่องจาก 1) ต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 48.7 ล้านบาทเป็นส่วนของต้นทุนบริการของ FPT ในระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม -30 กันยายน 2556 2) ในช่วง 9 เดือนของปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับโอนต้นทุนการให้บริการบางส่วน ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมเป็นรายการสินทรัพย์ สำหรับรายการที่มีเงื่อนไขเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 เรื่อง ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นรายการที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่บริษัทจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต และรายการดังกล่าวนั้นสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 15.6 ล้านบาท (ดังที่ได้เคยชี้แจงแล้วในบทวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2555) จึงเป็นผลให้ต้นทุนบริการช่วง 9 เดือนของปี 2555 นั้นน้อยกว่าต้นทุนบริการตามการดำเนินธุรกิจปรกติของบริษัท 3) การที่สายการบินต้นทุนต่ำได้ย้ายฐานการให้บริการจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) มาให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ตามนโยบายของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เพื่อแก้ปัญหาความแออัดของ ทสภ. รวมทั้งเพื่อใช้ประโยชน์ ทดม. อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้เจรจากับ ทอท. เพื่อขอเช่าระบบท่อส่งน้ำมัน Hydrant และขอเช่าพื้นที่เพื่อให้บริการเติมน้ำมันที่ ทดม. เพิ่มเติมตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2555 เป็นต้นมา โดยค่าเช่าระบบท่อ Hydrant และค่าเช่าพื้นที่ในช่วง 9 เดือน ปี 2556 ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 6.8 ล้านบาทและ 4.1 ล้านบาท ตามลำดับ 1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ค่าใช้จ่ายในการบริหารในงวด 9 เดือนของปี 2556 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 323.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.5 จาก 284.7 ล้านบาทช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการบริหารของ FPT ในช่วงระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 30 กันยายน จำนวน 22.8 ล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรรวมทั้งผลประโยชน์พนักงาน อนึ่ง ในงวด 9 เดือนของปี 2556 นี้ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของกลุ่มบริษัทในปีนี้มีจำนวน 256.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.1 ล้านบาทหรือร้อยละ 9.0 จากงวด 9 เดือนของปี 2555 1.2.3 ต้นทุนทางการเงิน สำหรับต้นทุนทางการเงินในงวด 9 เดือนของปี 2556 มีจำนวน 88.8 ล้านบาท ลดลง 17.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.6 โดยเป็นดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้ยืมระยะยาวและสัญญาเช่าทางการเงินของกลุ่มบริษัทจำนวน 72.4 ล้านบาท และเป็นต้นทุนดอกเบี้ยจากการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานตามกฏหมายคุ้มครองแรงงานแ ละสวัสดิการของบริษัท ที่บริษัทถือปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่องผลประโยชน์พนักงานจำนวน 16.4 ล้านบาท ตามลำดับ 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนของปี 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 840.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 245.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.4 จากงวด 9 เดือนของปี 2555 ที่ผ่านมาที่มีผลกำไรสุทธิ 594.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ร้อยละ 37.4 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ร้อยละ 31.7 และคิดเป็นกำไรต่อหุ้นๆ ละ 1.65 บาท เพิ่มขึ้นจาก 1.17 บาทในงวด 9 เดือนของปี 2555 2. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวมจำนวน 7,846.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 455.6 ล้านบาทหรือร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งประกอบด้วยรายการสำคัญๆ ดังนี้ 2.1.1 กลุ่มบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1,194.7 ล้านบาท โดยสามารถสรุปรายการกระแสเงินสดได้ดังนี้ - กลุ่มบริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1,057.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.1 จากงวด 9 เดือนของปี 2555 ที่มีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 926.9 ล้านบาท - กระแสเงินสดที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุนสุทธิมีจำนวน 90.5 ล้านบาท ลดลง 60.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 40.1 โดยรายการซื้อสิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์จำนวน 201.8 ล้านบาท เงินสดรับจากการรวมธุรกิจ FPT จำนวน 119.7 ล้านบาท เงินรับคืนจากการให้กู้ยืมจาก FPT จำนวน 33.2 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยรับจำนวน 16.6 ล้านบาท - กระแสเงินสดที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินสุทธิจำนวน 830.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.0 โดยเป็นการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 413.1 ล้านบาท จ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาวและชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงินรวมจำนวน 344.4 ล้านบาท และจ่ายดอกเบี้ยจำนวน 76.5 ล้านบาท 2.1.2 ที่ดิน สิ่งปรับปรุงสินทรัพย์เช่าและอุปกรณ์สุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 มีจำนวน 5,418.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 934.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.8 2.1.3 ค่าสัมปทานของบริษัทย่อยซึ่งเกิดจากการที่บริษัทซื้อหุ้นของ TARCO ในราคาที่สูงกว่าราคาทุน โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 มีจำนวน 588.6 ล้านบาท 2.2 หนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 กลุ่มบริษัทมีหนี้สินรวมจำนวน 3,082.5 ล้านบาท ลดลง 20.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 และคิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุนประมาณ 0.65 ต่อ 1 เท่า ลดลงจาก 0.72 ต่อ 1 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 โดยหนี้สินของบริษัทแบ่งเป็นรายการสำคัญๆได้ดังนี้ 2.2.1 เจ้าหนี้การค้าจำนวน 58.1 ล้านบาท ประกอบด้วย เจ้าหนี้การค้าบริษัทที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 33.2 ล้านบาท และเจ้าหนี้การค้าบริษัทอื่นจำนวน 24.9 ล้านบาท 2.2.2 ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 454.8 ล้านบาทโดยเป็นส่วนของบริษัทจำนวน 337.0 ล้านบาท TARCO จำนวน 107.3 ล้านบาท และ JP-One จำนวน 10.5 ล้านบาท ซึ่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2556 JP-One ได้เบิกเงินกู้งวดแรกจำนวน 32.1 ล้านบาทจากวงเงินสัญญากู้ยืมระยะยาว 90 ล้านบาท เพื่อลงทุนซื้อรถเติมน้ำมันอากาศยานตามแผนการกู้เงินจำนวนรวม 60 ล้านบาทจากวงเงินที่ JP-One ได้รับจากธนาคารจำนวน 90 ล้านบาท โดยจะดำเนินการเบิกเงินกู้ให้ครบตามแผนการกู้เงินในโครงการนี้ทั้งสิ้นรวมจำนวน 60 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2556 นอกจากนี้ ส่วนของหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีมีจำนวน 8.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของบริษัทจำนวน 5.4 ล้านบาท และของ TARCO จำนวน 2.8 ล้านบาทตามลำดับ 2.2.3 เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารสุทธิจำนวน 1,513.7 ล้านบาท ลดลง 322.7 ล้านบาทจาก 31 ธันวาคม 2555 หรือคิดเป็นร้อยละ 17.6 ซึ่งประกอบด้วย - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 177.8 ล้านบาท ครบกำหนดวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ชำระคืนเงินต้นปีละ 2 งวด งวดละ 22.2 ล้านบาท (งวดสุดท้ายชำระคืนเงินต้นส่วนที่เหลือทั้งหมด) ที่อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ THBFIX 6 months+1.15% พร้อมทั้งทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอัตราคงที่เท่ากับ 5.80% ต่อปี - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 711.5 ล้านบาท ครบกำหนดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ชำระคืนเป็นรายไตรมาส งวดละ 41.9 ล้านบาท (งวดสุดท้ายชำระคืนเงินต้นส่วนที่เหลือทั้งหมด) ที่อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน+1.5% - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน) จำนวน 126.3 ล้านบาท ครบกำหนดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 มีกำหนดชำระคืนเป็นราย 3 เดือน งวดละ 6.25 ล้านบาท และชำระคืนเงินต้นที่เหลือทั้งหมดในงวดสุดท้าย พร้อมทั้งได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 3 ปีแรกลงจากเดิมที่ MLR-2.0% เป็น MLR-2.5% และตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไปให้คงอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมที่ MLR-2.0% - เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 450.0 ล้านบาท ครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคม 2562 ชำระคืนเป็นรายไตรมาส งวดละ 25.0 ล้านบาท (งวดสุดท้ายชำระคืนเงินต้นส่วนที่เหลือทั้งหมด) ที่อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MLR-1.75% ในช่วง 2 ปีแรก ปีที่ 3-5 อัตราดอกเบี้ย MLR-1.50% และปีที่ 6-8 อัตราดอกเบี้ย MLR-1.25% - เงินกู้ยืมระยะยาวของ TARCO จำนวน 26.6 ล้านบาท โดยเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งแบ่งเป็น 1) เงินกู้จำนวน 19.3 ล้านบาท ครบกำหนดวันที่ 31 ธันวาคม 2557 มีกำหนดชำระคืนเป็นรายไตรมาส งวดละ 19.45 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน + 1.75% และ 2) เงินกู้จำนวน 7.2 ล้านบาท ครบกำหนดวันที่ 31 ธันวาคม 2557 มีกำหนดชำระคืนเป็นรายไตรมาส งวดละ 7.37 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย MLR-2.25% - เงินกู้ยืมระยะยาวของ JP-One จำนวน 21.6 ล้านบาท โดยเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่ง JP-One ทำสัญญากู้ยืมระยะยาววงเงิน 90 ล้านบาท เพื่อลงทุนซื้อรถเติมน้ำมันอากาศยานโดยได้เบิกเงินกู้งวดแรกไปแล้วจำนวน 32.1 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดวันที่ 31 มีนาคม 2561 มีกำหนดชำระคืนเป็นรายไตรมาส งวดละ 3.5 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย MLR- (1% ถึง 2.50%) ตามระยะเวลา 2.2.4 ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานจำนวน 682.3 ล้านบาทโดยเป็นภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และสวัสดิการของบริษัทอันสืบมาจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่องผลประโยชน์พนักงาน 2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 กลุ่มบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 4,763.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 31 ธันวาคม 2555 จำนวน 475.9 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 11.1 3. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต บริษัทมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการเป็นผู้ค้ำประกันให้กับ TARCO โดยยอดรวมหนี้สิ้น ณ ปัจจุบันของ TARCO มีจำนวนเท่ากับ 133.8 ล้านบาท (รวมหนี้สินส่วนที่ต้องชำระในหนึ่งปี) จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ ( หม่อมราชวงศ์ศุภดิศ ดิศกุล ) ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ ส่วนงานบริหารงานเลขานุการบริษัทและกิจกรรมสังคม โทรศัพท์ 0-2834-8914 โทรสาร 0-2834-8920 ______________________________________________________________________ สารสนเทศฉบับนี้จัดทำและเผยแพร่โดยบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข้อมูลหรือเอกสารใดๆของบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่านั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ในความถูกต้องและครบถ้วนของเนื้อหา ตัวเลข รายงานหรือข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฎในสารสนเทศฉบับนี้ และไม่มีความรับผิดในความสูญเสียหรือเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ในกรณีที่ท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ซึ่งได้จัดทำ และเผยแพร่สารสนเทศฉบับนี้